แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นคนอัดกัญชา ให้เป็นแท่งหรือนำกัญชาแบ่งบรรจุใส่ในถุงพลาสติก คงได้ความ จากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยว่า จำเลยเพียงแต่รับจ้าง นางผ.นำเอากัญชาของกลางไปมอบให้แก่ลูกค้าของนางผ.เท่านั้นจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตกัญชาโดยวิธีการแบ่งบรรจุตามความหมายของบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ผลิต” ดังที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติไว้ จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมไว้ในเข่งใบเดียวกัน แล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยการแบ่งบรรจุและรวมบรรจุจำนวน 8 ชิ้น มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 6.51 กิโลกรัม และมีกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ดังกล่าว ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยได้จำหน่ายกัญชาจำนวนดังกล่าวข้างต้นให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 28,000 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 75, 76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49,91 ริบกัญชาและรถจักรยานยนต์ของกลาง และสั่งห้ามจำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทุกประเภทภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ปฏิเสธข้อหาผลิตกัญชาและจำหน่ายกัญชา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 (ที่ถูกมาตรา 75 วรรคหนึ่ง) จำคุก 4 ปี และตามมาตรา 76 วรรคสองจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมเป็นจำคุก 6 ปี ริบกัญชาและรถจักรยานยนต์ของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยเสพยาเสพติดให้โทษทุกประเภทภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 98 ได้บัญญัติวิธีการบำบัดรักษาไว้แล้ว จึงไม่สมควรที่จะสั่งห้ามอีก ให้ยกคำขอส่วนนี้
โจทก์อุทธรณ์ขอให้นำวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 มาใช้บังคับแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหาผลิตกัญชา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102ด้วย และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหาผลิตกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 75 วรรคหนึ่ง คงให้จำคุกจำเลย 2 ปี สำหรับความผิดข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงข้อหาเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีเพียงว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาผลิตกัญชาตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยไม่มีข้อโต้แย้งกันแล้วว่า ขณะเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดเข่งไม้ไผ่บรรจุกัญชาเป็นของกลาง โดยกัญชาของกลางนั้นมีลักษณะเป็นพืชแห้งอัดเป็นแท่งรวม 3 แท่ง และบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่อีก 5 ถุง ตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดทุ่งสง) เห็นว่า ตามข้อนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่า จำเลยเป็นคนอัดกัญชาให้เป็นแท่งหรือนำกัญชาแบ่งบรรจุใส่ในถุงพลาสติกดังกล่าว ประกอบกับได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 ว่าจำเลยเพียงแต่รับจ้างนางผ่องนำเอากัญชาของกลางไปมอบให้แก่ลูกค้าของนางผ่องเท่านั้น คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตกัญชาโดยวิธีการแบ่งบรรจุตามความหมายของบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า “ผลิต” ดังที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติไว้ส่วนข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้งหมดใส่ในเข่งไม้ไผ่นั้น เห็นได้ว่า ที่จำเลยนำกัญชาทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันแล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องความผิดข้อหาผลิตกัญชาชอบแล้ว
พิพากษายืน