คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อปุ๋ยของโจทก์ที่ถูกยักยอกไปและขายต่อไปแล้ว จำเลยซื้อโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาปุ๋ยคืนจากผู้ที่ยึดถือทรัพย์ของโจทก์ไว้เท่านั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ซื้อปุ๋ยในท้องตลาด พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้เงิน 55,955.30 บาท ให้จำเลยที่ 3 ใช้เงิน 77,181.12 บาทแก่โจทก์กับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องสำนวนจำเลยที่ 3โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายเกรียง วิริยะกิตกุลหรือวิริยะกิจกูล ได้รับคำสั่งจากโจทก์ให้จัดการนำปุ๋ยไปส่งที่สหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำกัด อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 600กระสอบ ไปส่งที่สหกรณ์ขายข้าวพิบูลธัญญาหาร จำกัด อำเภอพิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 440 กระสอบนายเกรียงสั่งให้นายเปรม ธานี ลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกของนายชัยสิทธิ์เอารถยนต์ไปขนปุ๋ยที่กุดังของโจทก์ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อนำไปส่งให้แก่สหกรณ์ทั้งสองดังกล่าวหลังจากนายเปรมกับพวกเอารถยนต์มาขนปุ๋ยไปแล้ว ส่งมอบให้สหกรณ์ขายข้าวพิบูลธัญญหาร จำกัดเพียงจำนวน 220 กระสอบ ส่วนสหกรณ์การเกษตรคลองขลุงจำกัด ไม่ได้รับมอบปุ๋ยเลย ทั้งนี้เพราะนายเปรมกับพวกยักยอกปุ๋ยของโจทก์ที่ขาดหายไป 820 กระสอบเอาไปขายให้จำเลยที่ 1 ซึ่งรับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำความผิดต่อกฎหมาย ต่อมาจำเลยที่ 2 รับซื้อปุ๋ยทั้ง820 กระสอบดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยรู้อยู่แล้วเช่นกันว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำความผิดต่อกฎหมาย จำเลยที่ 3 รับซื้อปุ๋ยรายนี้จากจำเลยที่ 2 สองครั้งรวม 350 กระสอบ รับซื้อโดยสุจริต และจำเลยที่ 3 ได้ขายต่อให้ผู้อื่นไปหมดแล้วคดีได้ความดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ซื้อปุ๋ยนั้นในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือซื้อจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมิใช่พ่อค้าขายของชนิดนั้นก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 3 ซื้อไว้โดยสุจริตและได้ขายปุ๋ยนั้นต่อไปหมดแล้วทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ขายไปโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาปุ๋ยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง เพราะโจทก์มีสิทธิติดตามเอาปุ๋ยคืนได้จากผู้ที่ยึดถือไว้เท่านั้นตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1275/2493 ระหว่าง นายเกษม คำนูนวัธ โจทก์ นางอาฮวด แซ่ซี จำเลย ดังที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้าง”

พิพากษายืน

Share