คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5058/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยป่วยเป็นโรคจิตชนิดจิตเภทเรื้อรัง วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมนอนเล่นอยู่บนบ้าน จำเลยไปที่ใต้ถุนบ้านโจทก์ร่วมและพูดคนเดียวโดยไม่มีใครรู้สาเหตุว่า คนแก่อะไรพูดไม่เป็นคำพูด โจทก์ร่วมได้ยินเสียงจำเลย จึงลุกไปที่ประตูถามจำเลยว่าพูดอะไร จำเลยตอบว่าไม่ให้โจทก์ร่วมสนใจและอย่าใช้เสียงดังมิฉะนั้นจะฆ่าให้ตายแล้วจำเลยเดินไปใช้ไม้ขีดไฟจุดเผาหลังคายุ้งข้าวของโจทก์ร่วมพฤติการณ์เช่นนี้ไม่อาจรับฟังได้ว่าสาเหตุคดีนี้ เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน การกระทำของจำเลยเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า บุคคลผู้มีจิตเป็นปกติจะกระทำเช่นนั้นได้ จำเลยมีอาการทางประสาทมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ คือชอบนั่งคอตกไม่พูดกับใคร ทำงานไม่ได้ ไล่ชกต่อยมารดาและเคยจะฟันพี่ชายพูดด้วยไม่รู้เรื่อง บางครั้งต้องใช้โซ่ล่ามไว้ พฤติการณ์เช่นนี้ฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดในขณะที่จิตบกพร่องหรือเป็นโรคจิตแต่ยังสามารถรู้ผิดชอบหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218เดิมจำเลยให้การปฏิเสธแล้วเปลี่ยนเป็นรับสารภาพในระหว่างพิจารณาศาลจำหน่ายคดีชั่วคราวแล้ว แพทย์ตรวจจำเลยตามที่ศาลสั่งมีความเห็นว่าจำเลยวิกลจริต แต่สามารถต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นจึงยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง แต่พิเคราะห์สภาพทางจิตซึ่งจำเลยมีอาการประสาทหลอนมาก่อนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 25 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทำผิดในขณะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 218, 65 จำคุก 2 ปี รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 1 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยได้จุดไฟเผายุ้งข้าวของโจทก์ร่วมและไฟได้ลามไปไหม้โรงเรือนของโจทก์ร่วม เป็นเหตุให้โรงเรือนของโจทก์ร่วมและทรัพย์สินอื่น ๆ ของผู้เสียหายคนอื่นซึ่งเก็บไว้ในโรงเรือนดังกล่าวได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงินรวม 91,860 บาทคดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยกระทำความผิดในขณะที่ยังรู้สึกผิดชอบและบังคับตนเองได้ดังเช่นคนปกติหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ได้ความว่าในระหว่างพิจารณาคดีนี้เมื่อศาลสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 1 ปาก ทนายจำเลยซึ่งเป็นทนายความที่ศาลขอแรงให้ช่วยว่าความยื่นคำร้องต่อศาลว่าทนายได้สอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลยหลายครั้ง แต่จำเลยพูดจาไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยิ้มกับพยักหน้าเมื่อสอบถามญาติของจำเลยจึงทราบว่าจำเลยวิกลจริต เคยไปรักษาที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยเป็นโรคจิตเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2524ตามใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ฉบับลงวันที่11 มิถุนายน 2525 จึงขอให้ศาลส่งตัวจำเลยไปรับการรักษาก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปให้โรงพยาบาลดังกล่าวตรวจดูอาการของจำเลย ต่อมาโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ส่งรายงานการวินิจฉัยโรคต่อศาลโดยนายแพทย์ธำรง ทัศนาญชลีแพทย์ผู้ตรวจมีความเห็นว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ปรากฏตามหนังสือของโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ฉบับลงวันที่ 27 กันยายน 2525 และนายแพทย์ธำรงแพทย์ผู้ตรวจจำเลยก็ได้มาให้ถ้อยคำต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีอาการป่วยทางจิตชนิดจิตเภทเรื้อรังและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลลงวันที่ 1 ธันวาคม 2525ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้ชั่วคราว และให้ส่งตัวจำเลยไปรับการบำบัดรักษา หลังจากนั้นเป็นเวลา 3 ปีเศษ เมื่อวันที่24 กุมภาพันธ์ 2529 โรงพยาบาลสวนสราญรมย์มีหนังสือแจ้งว่าอาการของจำเลยทุเลาลงและสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว ปรากฏตามหนังสือของโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2529ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิตชนิดจิตเภทเรื้อรัง ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ขณะมีจิตบกพร่อง หรือเป็นโรคจิตหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ร่วมและนางสาววิมล สมศักดิ์ บุตรสาวโจทก์ร่วมซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่าพยานทั้งสองรู้จักจำเลยมาตั้งแต่จำเลยยังเล็ก ๆ และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย นอกจากนี้ขณะเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลผู้มีจิตเป็นปกติจะกระทำเช่นนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า วันเกิดเหตุจำเลยเดินไปที่บ้านโจทก์ร่วมและถูกโจทก์ร่วมว่ากล่าว เป็นเหตุให้จำเลยเกิดความโกรธแค้นโจทก์ร่วมโดยฉับพลันและขาดความยั้งคิด จึงกระทำความผิดขึ้นจะถือว่าจำเลยวิกลจริตไม่ได้นั้นได้ความจากโจทก์ร่วมและนางสาววิมลพยานโจทก์เพียงว่า วันเกิดเหตุโจทก์ร่วมนอนเล่นอยู่บนบ้าน จำเลยไปที่ใต้ถุนบ้านโจทก์ร่วม และพูดคนเดียวโดยไม่มีใครรู้สาเหตุว่า”คนแก่อะไร พูดไม่เป็นคำพูด” โจทก์ร่วมได้ยินเสียงจำเลยดังกล่าวจึงลุกขึ้นไปที่ประตู ถามจำเลยว่า “เมื่อตะกี้มึงพูดว่าอะไร”จำเลยตอบว่า “เรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่สนใจ อย่าใช้เสียงดังถ้าส่งเสียงดังจะฆ่าให้ตาย” หลังจากนั้นจำเลยเดินไปใช้ไม้ขีดไฟจุดเผาหลังคายุ้งข้าวของโจทก์ร่วมแล้วหลบหนีไป เช่นนี้จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า สาเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยโกรธแค้นขึ้นมาอย่างฉับพลันดังฎีกาของโจทก์นอกจากนี้ นายชาญยุทธ์ คเชนทร์ภักดี พยานจำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของจำเลยก็มาเบิกความว่าจำเลยมีอาการทางประสาทมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุคดีนี้แล้ว คือชอบนั่งคอตกไม่พูดกับใคร ทำงานไม่ได้ไล่ชกต่อยมารดา เคยจะฟันพยานด้วย อาการดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว คราวละประมาณ 30 นาที พูดด้วยไม่รู้เรื่องบางครั้งก็ต้องใช้โซ่ล่ามจำเลยไว้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงรับฟังได้ว่า จำเลยซึ่งป่วยเป็นโรคจิตเภทชนิดเรื้อรังได้กระทำความผิดในขณะที่จิตบกพร่องหรือเป็นโรคจิต แต่จำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง”
พิพากษายืน

Share