แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหายเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไปจำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไปที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง, ๓๗๑, ๙๑ ริบมีดคัทเตอร์และคืนไม้ทีสไลด์ของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ ให้จำคุกคนละ ๓ เดือน จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ปรับ ๘๐ บาท ริบมีดคัดเตอร์ของกลาง ส่วนไม้ทีสไลด์ให้คืนแก่ผู้เสียหายคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๓ ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๖ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์ของกลางจี้ผู้เสียหาย ขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลดิ์ให้จากนั้นจึงจับไหล่ผู้เสียหายให้เดินไปด้วยกัน โดยมีจำเลยที่ ๒ เดินคุมผู้เสียหายไปแล้วจำเลยที่ ๒ ทำการยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหาย ทั้งเมื่อจำเลยที่ ๑ ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะรีบหลบหนีไป กลับปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้บังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสอง เมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี กลับคืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่น พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไป เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ได้ความว่ามีเรื่องต่อยตีกันเป็นประจำระหว่างนักศึกษาของสถานศึกษาที่ผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองต่างกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ประกอบกับขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสองมีอาการมึนเมาสุราแล้ว ศาลฎีกาเชื่อว่า ที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนอง ประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลัยที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อน หาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ใช้แขนรัดคอผู้เสียหายและใช้มีดจี้ขู่เข็ญบังคับผู้เสียหายให้ส่งไม้ทีสไลด์ให้ โดยมีจำเลยที่ ๒ ยืนอยู่ด้วยแล้วบังคับผู้เสียหายให้เดินไปกับจำเลยทั้งสองและจำเลยที่ ๒ ยื้อแย่งย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสองได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคท้ายที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานชิงทรัพย์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ให้จำคุกคนละ ๖ เดือน ปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองเป็นนักเรียนกำลังศึกษาอยู่ในระดับอาชีวศึกษา และไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ทั้งเกิดเหตุแล้ว ผู้เสียหายก็ไม่ติดใจเอาโทษแก่จำเลยทั้งสองเมื่อได้คำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว สมควรให้โอกาสแก่จำเลยทั้งสองได้กลับตัวสักครั้งหนึ่ง โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ รวมโทษจำเลยที่ ๑ ฐานพาอาวุธตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วปรับ ๒,๐๘๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์