คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5053/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวจากจำเลย โดยโจทก์วางมัดจำให้จำเลยและจำเลยได้ออกใบเสร็จรับเงินไว้ให้ส่วนราคาที่เหลือโจทก์จะชำระให้จำเลยในวันที่จำเลยจัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์จัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ต่อมาจำเลยไม่สามารถนำเจ้าของที่ดินและตึกแถวมาทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ โจทก์จึงให้จำเลยคืนเงินมัดจำ แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าว จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำหรือให้สัญญาแก่โจทก์ว่าจะจัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวและที่ดินแก่โจทก์ส่วนใบเสร็จรับเงินที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นเป็นใบเสร็จรับเงินที่จำเลยออกเพื่อรับเงินไว้แทน ว.ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยว. รับเงินจำนวนดังกล่าวทั้งหมดไปแล้ว โจทก์ชอบที่จะไล่เบี้ยเอาจาก ว.ขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ ในการตีความตามเอกสารใบเสร็จรับเงินที่จำเลยทำขึ้นแล้วมอบไว้ต่อโจทก์นั้น เมื่อไม่มีข้อความว่ารับเงินไว้แทนใครการที่จำเลยให้การว่ารับเงินไว้แทน ว. ลูกจ้างของจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้สั่งให้จำเลยรับเงินไว้เพื่อให้จำเลยมอบต่อไปให้ผู้ใด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผู้ต้องเสียหายในมูลหนี้ในเงินมัดจำที่มอบไว้ตามหลักฐานเป็นหนังสือ ในกรณีที่มีข้อสงสัยจึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่19626 พร้อมตึกแถวสองชั้นครึ่งจากจำเลยในราคา 525,000 บาท โจทก์วางมัดจำให้จำเลยเป็นเงิน 85,000 บาท ส่วนราคาที่เหลือโจทก์จะชำระให้จำเลยในวันที่จำเลยจัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์จัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ในวันที่ 21 กันยายน 2532 หากจำเลยผิดสัญญาไม่จัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ภายในกำหนดจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมคืนเงินมัดจำด้วยเมื่อถึงกำหนดตามสัญญาโจทก์นำเงินไปชำระให้จำเลย แต่จำเลยไม่สามารถนำเจ้าของที่ดินและตึกแถวที่แท้จริงมาทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 191,089 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน185,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ในการที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทตามคำฟ้อง เพราะจำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีสิทธิในการซื้อขายที่ดิน และจำเลยไม่เคยทำหรือให้สัญญาแก่โจทก์ว่าจะจัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวและที่ดินแก่โจทก์ในวันที่21 กันยายน 2532 สำหรับใบเสร็จรับเงินท้ายคำฟ้องนั้นเป็นใบเสร็จรับเงินที่จำเลยออกเพื่อรับเงินไว้แทนผู้อื่น จำเลยไม่เคยบอกกล่าวหรือให้สัญญาต่อโจทก์ว่าจะนำเจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาทคือนายอลีนจิตต์มาทำการจดทะเบียน จำเลยไม่เคยสั่งจ่ายเช็คชำระค่าตึกแถวและที่ดินให้แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยใช้เงินจำนวน 191,089 บาทนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาลว่า จำเลยรับเงินมัดจำจากโจทก์ไว้แล้วได้ออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ เมื่อจำเลยไม่สามารถนำเจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาทไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยต้องคืนเงินมัดจำและยอมให้โจทก์ปรับ จำเลยยกข้อต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้องไว้ว่า จำเลยได้ออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ไว้จริง แต่เป็นใบเสร็จรับเงินที่จำเลยออกให้เพื่อรับเงินแทนนายวิชัยซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยและนายวิชัยรับเงินจำนวน 85,000 บาท ไปแล้ว นายวิชัยจะมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ หากเงินจำนวนดังกล่าวจะมีความเกี่ยวพันใด ๆ กับโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ก็ชอบที่จะไปไล่เบี้ยเอาจากนายวิชัยไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยแต่อย่างใด คู่กรณีของโจทก์จึงมิใช่จำเลย จำเลยไม่เคยบอกกล่าวหรือให้สัญญาต่อโจทก์ว่าจะนำนายอลีนจิตต์เจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาทไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์คดีนี้โจทก์จำเลยต่างอ้างตนเองเป็นพยานโดยไม่มีพยานอื่นอีกข้อเท็จจริงจากคำฟ้องและคำให้การฟังได้ว่า จำเลยรับเงินจำนวน85,000 บาท ไว้โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญ อันเป็นหลักฐานที่โจทก์และจำเลยจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ต่อไป โจทก์ฟ้องขอเงินคืนจำเลยใช้สิทธิไม่คืนโดยอ้างว่าให้โจทก์ไปไล่เบี้ยเอาจากนายวิชัยเพราะมอบเงินให้นายวิชัยแล้วเมื่อข้อความในใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ที่จำเลยทำขึ้นไว้เองแล้วมอบให้โจทก์ไปมีใจความว่า จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ชำระค่าซื้อขายบ้านโดยจ่ายค่ามัดจำบ้าน แล้วจำเลยลงมือชื่อเป็นฝ่ายผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ และจำเลยนำสืบรับว่าไม่ได้ให้นายวิชัยลงลายมือชื่อรับเงินโจทก์ไว้ ในการตีความตามเอกสารการรับเงินที่จำเลยทำขึ้นแล้วมอบไว้ต่อโจทก์ เมื่อไม่มีข้อความว่ารับเงินไว้แทนใคร การที่จำเลยให้การว่ารับเงินไว้แทนนายวิชัยลูกจ้างของจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้สั่งให้จำเลยรับเงินไว้เพื่อให้จำเลยมอบต่อไปให้ผู้ใด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผู้ต้องเสียหายในมูลหนี้ในเงินมัดจำที่มอบไว้ตามหลักฐานเป็นหนังสือ ในกรณีที่มีข้อสงสัยจึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 11 คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย ล.1 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปก่อนที่จะตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่โจทก์คงมีว่า ตามที่จำเลยระบุข้อความไว้ตามใบเสร็จรับเงินว่า ได้รับเงินจากโจทก์ไว้ชำระค่าซื้อบ้านโดยจ่ายค่ามัดจำรวม 85,000 บาทนั้น พฤติการณ์ที่จำเลยเป็นคนต่างด้าว แต่มีภริยาเป็นคนไทยและจำเลยประกอบอาชีพค้าขายมีร้านขายอาหารที่ชายทะเลชะอำ อยู่ในประเทศไทยนาน 4 ปี ส่วนโจทก์ก็รับว่ามีสามีแล้วและตามใบเสร็จรับเงินที่จำเลยเขียนไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 ใช้ข้อความว่านางวรรณและเดราช เท็นเฟเกอร์ ได้ชำระค่าซื้อขายบ้านที่จำเลยให้เหตุผลว่านายวิชัยขอร้องให้จำเลยออกใบเสร็จรับเงินให้โจทก์ด้วย จำเลยจึงดำเนินการให้แล้วมอบเงินที่รับจากโจทก์ให้นายวิชัยไป อีกทั้งอ้างว่าไม่เคยเข้าไปยุ่งในการประกอบอาชีพค้าขายบ้านและที่ดินในลักษณะนายหน้าของนายวิชัย จำเลยไม่เคยตั้งตัวแทนในคดีนี้ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างไว้หากเป็นเรื่องการซื้อขายบ้านของนายวิชัยหรือโดยนายวิชัยเป็นนายหน้าแล้ว จำเลยก็ควรที่จะต้องเขียนข้อความว่ารับเงินแทนนายวิชัยหรือให้นายวิชัยออกใบเสร็จรับเงินไว้ในนามของนายวิชัยเองแล้วมอบให้โจทก์ไปเมื่อโจทก์ชำระเงินมัดจำ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยรับเงินมัดจำแล้ว จำเลยจะจัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ แต่จำเลยหาได้ทำกิจการดังกล่าวได้สำเร็จไม่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าเงินจำนวนนี้โจทก์จำเลยตกลงจ่ายเป็นค่ามัดจำกันระหว่างโจทก์จำเลยดังปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือในใบเสร็จรับเงิน เมื่อจำเลยรับเงินมัดจำแล้วไม่ชำระหนี้เพราะพฤติการณ์ที่จำเลยต้องรับผิดชอบโดยไม่จัดการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยจึงต้องส่งคืนเงินมัดจำให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่ผิดนัดวันที่ 21 กันยายน2533 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนเงิน 100,000 บาท ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยอมให้ปรับนั้นโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือสัญญาว่าจำเลยยอมให้ปรับ โจทก์เรียกเอาเงินจำนวนนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวกับโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่ให้จำเลยส่งคืนเงินที่จำเลยรับไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 85,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share