คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5033/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักลอบนำเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับของดังกล่าวจากคนร้ายไว้ในครอบครองโดยช่วยกันซ่อนเร้นซื้อและช่วยพาเอาไปเสียซึ่งสิ่งของดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรแสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาเดียวเพราะความผิดฐานลักลอบนำเข้ามาเองกับความผิดฐานรับเอาไว้จากที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้คำให้การของจำเลยที่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาทุกประการไม่ชัดเจนพอว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยานจึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวไม่ได้และไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ การแปรรูปไม้หวงห้ามและการมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองแม้จำเลยกระทำผิดในวันเวลาเดียวกันและไม้แปรรูปที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่จำเลยแปรรูปเองและกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกันก็ตามการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดต่างกรรมกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ลักลอบนำเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงค่าภาษีศุลกากรหรือรับเอาของดังกล่าวจากคนร้ายไว้ในครอบครองของจำเลยโดยช่วยซ่อนเร้น ซื้อและช่วยพาเอาไปเสียซึ่งของดังกล่าว โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้นและโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้มะค่าโมงซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยใช้เครื่องเลื่อยยนต์ดังกล่าวเลื่อยออกเป็นแผ่นและเหลี่ยม อันเป็นการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยมีไม้มะค่าโมงดังกล่าวไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 ทวิ,74 จัตวา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลย ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง, 74, 74 ทวิ,74 จัตวา พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแปรรูปไม้หวงห้ามในเขตควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 12 เดือน ฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 12 เดือน ฐานซื้อรับไว้ซึ่งของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับ 16,050 บาทรวมจำคุก 24 เดือน ปรับ 16,050 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ปรับ 8,025 บาทไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีกับรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้วเห็นว่าจำเลยแปรรูปไม้เพื่อนำไปขายให้ผู้อื่นเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ส่วนรวม จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุก
จำเลย อุทธรณ์ ขอให้ รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฯ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าการสอบสวนคำให้การจำเลยเป็นกระบวนการพิจารณาอย่างหนึ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลด้วย และตามมาตรา 228 และมาตรา 229ให้ศาลเป็นผู้สืบพยานจะกระทำโดยคู่ความฝ่ายใดร้องขอหรือโดยพลการก็ได้ ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมิได้สอบถามคำให้การจำเลยให้ชัดแจ้งว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานเป็นผู้ลักลอบนำพาเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรหรือเป็นผู้รับเอาของดังกล่าวไว้โดยช่วยซ่อนเร้น และมิได้สั่งให้โจทก์สืบพยานไว้ จัดว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดพลาด ศาลอุทธรณ์ภาค 1ชอบที่จะใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นให้สอบถามคำให้การจำเลยใหม่ให้ชัดแจ้ง แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยแล้วซึ่งจำเลยให้การว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการทนายขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาทุกประการ” โจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในคำให้การจำเลย และในรายงานกระบวนพิจารณาหากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้ง โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไปเพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยและความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิก็มิได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคแรก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นหาได้ผิดพลาดไม่ การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักลอบนำเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับเอาของดังกล่าวจากคนร้ายไว้ในครอบครองของจำเลยโดยช่วยซ่อนเร้น ซื้อและช่วยพาเอาไปเสียซึ่งสิ่งของดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักลอบนำเข้ามาเองกับความผิดฐานรับเอาไว้จากที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นความผิดคนละฐานกัน จะลงโทษจำเลยในทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ว่าข้าพเจ้าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาทุกประการ”ในส่วนนี้ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยานจึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวไม่ได้ คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2529 ระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการโจทก์ นายรัตนเดช ชีวางกูร จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานแปรรูปไม้หวงห้ามในเขตควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดกรรมเดียวมิใช่ความผิดหลายกรรมนั้น เห็นว่าการแปรรูปไม้หวงห้ามในเขตควบคุมและการมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จำเลยกระทำผิดในวันเวลาเดียวกันและแม้ไม้แปรรูปที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่จำเลยแปรรูปเองและกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกันก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดต่างกรรมกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share