คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น มีและพาอาวุธปืนยกฟ้องในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ก็ไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร ข้อหาดังกล่าวย่อมยุติ ไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คำให้การพยานโจทก์ซึ่งให้การไว้ในชั้นสอบสวนใกล้เวลาเกิดเหตุไม่ทันได้คิดเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ กฎหมายหาได้จำกัดให้รับฟังเฉพาะคำให้การพยานโจทก์ในชั้นศาลเท่านั้นไม่เมื่อคำให้การพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนมิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือมิชอบประการอื่น ศาลย่อมรับฟังมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140,288, 289, 80, 83, 91, 32, 33 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519ข้อ 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4), 83, 91, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1)คงลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 4 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา คนร้าย 2 คน เข้ามานั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านด้านทิศตะวันออกของร้านผู้ตายจนเวลา 19 นาฬิกา ขณะผู้ตายนั่งต่อสายไฟจากเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่บนรถไถนาที่จอดอยู่หน้าร้านผู้ตายด้านทิศตะวันตกคนร้ายคนหนึ่งได้ลุกจากโต๊ะเดินไปหาผู้ตายแล้วใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นจ่อยิงศีรษะผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วคนร้ายทั้งสองพากันหลบหนีออกจากร้านผู้ตายไป หลังเกิดเหตุชาวบ้านและเจ้าพนักงานตำรวจออกติดตามคนร้ายไป และล้อมจับนายนองสิงห์เอี่ยม ไว้ได้กับยึดได้อาวุธปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก ไม่มีหมายเลขทะเบียน กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด ปลอกกระสุนปืนขนาดเดียวกัน 1 ปลอก รองเท้าแตะฟองน้ำ 1 คู่ เป็นของกลาง วันที่22 พฤษภาคม 2532 พันตำรวจโทสุนทรกับพวกติดตามจับกุมจำเลยมาได้จากบ้านจำเลยที่หมู่ที่ 2 ตำบลวังพิกุล อำเภอบึงสามพันจังหวัดเพชรบูรณ์
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษานั้น สำหรับข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกฐานละไม่เกินห้าปี จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงรับวินิจฉัยให้เฉพาะข้อหาความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เห็นว่าโจทก์มีนางมานะเป็นพยานสำคัญให้การในชั้นสอบสวนไว้เมื่อวันที่29 มกราคม 2532 ตามเอกสารหมาย จ.3 ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมจำเลยมาได้ โดยนางมานะให้การยืนยันว่าจำคนร้ายทั้งสองคนได้และระบุตำหนิรูปพรรณของคนร้ายคนหนึ่งไว้ว่า เป็นชายมีอายุกว่า 30 ปี ใบหน้าแหลม เบ้าตาลึก ไว้หนวด ผิวเนื้อดำแดง ตรงตามลักษณะของจำเลยในภาพถ่ายหมาย จ.13 และจำเลยมีอายุ 40 ปี เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยมาได้ นางมานะยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย ปรากฏตามบันทึกคำให้การเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.2สำหรับคำให้การนางมานะตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น ได้ความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกา คนร้าย 2 คนได้มาที่ร้านของผู้ตายคนร้ายคนหนึ่งได้สั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทาน นางมานะเห็นเป็นคนแปลกหน้าจึงได้เข้าไปพูดคุยซักถามคนร้ายทั้งสองว่าจะไปไหนกันคนร้ายคนหนึ่งบอกว่า จะมาหาซื้อยุ้งข้าวเก่าเอาไปสร้างบ้านนางมานะบอกคนร้ายทั้งสองไปว่า (แถวนี้) จะมีขายหรือไม่ ไม่รู้คนร้ายทั้งสองนั่งอยู่ในร้านผู้ตายนานประมาณ 30 นาที แล้วออกจากร้านผู้ตายไป ต่อมาเวลาประมาณ 17 นาฬิกา คนร้ายทั้งสองได้กลับเข้ามาที่ร้านของผู้ตายอีก เข้ามานั่งที่โต๊ะหน้าร้านด้านทิศตะวันออกสั่งสุราและกับแกล้มมาดื่มและรับประทานจนเวลาประมาณ 19 นาฬิกาคนร้ายคนหนึ่งได้สั่งซื้อเนื้อและฟักทอง นางมานะนำเอาไปให้คนร้ายแล้วคิดเงินค่าของที่ขายและค่าอาหารทั้งหมดเป็นเงิน 97 บาทคนร้ายชำระเงินด้วยธนบัตรฉบับละ 100 บาท นางมานะทอนเงินให้คนร้าย3 บาท คนร้ายทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะทำท่าจะออกจากร้านของผู้ตายไปนางมานะเดินกลับมาที่โต๊ะสำหรับวางผักขาย ต่อจากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ตรงที่ผู้ตายนั่งต่อสายไฟจากเครื่องยนต์รถไถนาอยู่ที่หน้าร้านด้านทิศตะวันตก นางมานะหันไปมองเห็นคนร้าย 1 คนในจำนวน 2 คน ที่มานั่งดื่มสุราและรับประทานกับแกล้มที่โต๊ะหน้าร้านด้านทิศตะวันออกดังกล่าวเป็นคนยิงผู้ตาย แล้วคนร้ายดังกล่าวได้วิ่งออกจากร้านของผู้ตายไปพร้อมกับคนร้ายอีกคนหนึ่ง ต่อมามีชาวบ้านและเจ้าพนักงานตำรวจติดตามคนร้ายทั้งสองไป เวลาประมาณ 21 นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมคนร้ายที่ยิงผู้ตายมาได้ ปรากฏว่าชื่อนายนอง สิงห์เอี่ยม นายนองรับสารภาพว่าร่วมกับพวกมายิงผู้ตายต่อมาเมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมตัวมาได้ นางมานะก็ยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้าย พฤติการณ์ดังกล่าวเชื่อได้ว่านางมานะจดจำคนร้ายทั้งสองได้ เพราะมีโอกาสเห็นคนร้ายทั้งสองเมื่อตอนเที่ยงวันมาแล้วครั้งหนึ่ง และก่อนเกิดเหตุคนร้ายทั้งสองก็ได้มานั่งดื่มสุราและรับประทานกับแกล้มอยู่ที่ร้านของผู้ตายตั้งแต่เวลาประมาณ 17 นาฬิกา จนกระทั่งเวลา 19 นาฬิกาจึงเกิดเหตุดังนี้แม้ในชั้นศาลนางมานะจะเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุที่ร้านผู้ตายมีตะเกียงกระป๋อง 3 ดวงจุดอยู่เห็นหน้าคนไม่ค่อยชัด สลัว ๆจำเลยจะใช่คนที่ถือเนื้อและฟักทองหรือไม่ไม่แน่ใจ ชายทั้งสองลุกขึ้น นางมานะหันกลับไปขายของให้ลูกค้าคนอื่น ต่อมาได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดทางผู้ตาย นางมานะหันไปมองเห็นผู้ตายล้มลงผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงคือหนึ่งในสองคนที่มาด้วยกัน ทราบชื่อภายหลังว่านายนอง หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยมาได้ นางมานะได้ไปให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามเอกสารหมาย จ.2 นางมานะให้การว่า เมื่อพบหน้าจำเลย นางมานะจำได้ทันทีว่าจำเลยเป็นหนึ่งในสองของคนร้ายที่ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จึงถือได้ว่านางมานะยืนยันว่า นายนองเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย และจำเลยเป็นคนร้ายที่ไปกับนายนองในขณะที่นายนองไปยิงผู้ตายในที่เกิดเหตุนั้นเอง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายบุญเพ็ญและนายย้วนเป็นประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนว่า ขณะเกิดเหตุนายบุญเพ็ญและนายย้วนไปซื้อของที่ร้านผู้ตาย นายบุญเพ็ญยืนอยู่ที่โต๊ะขายของห่างโต๊ะคนร้ายประมาณ 2 วา ส่วนนายย้วนยืนอยู่ใกล้นางมานะหลังจากคนร้าย 2 คน ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วต่อมามีเสียงปืนดังขึ้น เมื่อนายบุญเพ็ญและนายย้วนหันไปมองทางเสียงปืน เห็นผู้ตายล้มลง กับเห็นคนร้ายทั้งสองคนวิ่งหนีออกจากร้านผู้ตายไป คืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุมนายนองมาได้นายบุญเพ็ญและนายย้วนต่างก็ยืนยันว่า นายนองเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย และเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยมาได้ นายย้วนและนายบุญเพ็ญก็ทำการชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้อง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ไม่มีสาเหตุที่จะระแวงสงสัยว่านายย้วนและนายบุญเพ็ญจะกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย คำพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ชั้นจับกุมจำเลยก็ให้การรับสารภาพ ปรากฏตามเอกสารหมายป.จ.1 ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจโทสุนทรผู้จับกุมจำเลยเบิกความสนับสนุนว่า ได้อ่านบันทึกการจับกุมให้จำเลยฟังแล้วจึงให้จำเลยลงชื่อโดยมิได้บังคับขู่เข็ญจำเลยแต่อย่างใด และชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่า จำเลยและนายนองรับจ้างนายตุ้นไปฆ่าผู้ตาย และจำเลยกับนายนองได้ร่วมทางกันไปยังบ้านผู้ตาย แล้วนายนองเป็นผู้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ให้การปฏิเสธข้อหาต่อสู้ขัดขวางพยายามฆ่าเจ้าพนักงานและผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำเลยได้นำชี้ที่เกิดเหตุและสถานที่ที่เกี่ยวข้องประกอบคำรับสารภาพ ให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพไว้ตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.12 และภาพถ่ายหมาย จ.13ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจตรีสมพงษ์พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่าจำเลยรับสารภาพโดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ คำรับสารภาพของจำเลยมีรายละเอียดมากมายตั้งแต่ประวัติความสัมพันธ์ที่จำเลยได้รู้จักกับนางเชิด นางเชิดชักนำนายตุ้นมาว่าจ้างจำเลย ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับนายนอง เส้นทางที่นายตุ้นพาจำเลยและนายนองไปยังบ้านนายตุ้น การที่นายตุ้นจัดหาอาวุธปืนให้นายนอง การที่นายตุ้นเขียนแผนที่บ้านผู้ตายและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ตาย สาเหตุที่นายตุ้นจ้างจำเลยและนายนองฆ่าผู้ตายและรายละเอียดในการที่จำเลยและนายนองเดินทางไปฆ่าผู้ตายจนกระทำการสำเร็จแล้วหลบหนี ตลอดจนการถูกติดตามจับกุมแล้วถูกกระสุนปืนจากฝ่ายติดตามแต่จำเลยหลบหนีมาได้ รายละเอียดของการกระทำผิดดังกล่าวตรงตามคำพยานโจทก์ เชื่อได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ หาใช่พันตำรวจโทสุนทรผู้จับกุม และพันตำรวจตรีสมพงษ์พนักงานสอบสวนร่วมกันปั้นแต่งเรื่องขึ้นเองไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนัก เชื่อได้ว่าจำเลยร่วมกับนายนองฆ่าผู้ตาย โดยนายนองเป็นคนยิงผู้ตาย ส่วนจำเลยร่วมทางมาเพื่อคอยช่วยเหลือนายนองในขณะกระทำผิด อันเป็นการร่วมกระทำผิดกับนายนองจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับนายนองฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอันเป็นความผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยมา พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาคดีมาชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ไม่วินิจฉัยในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวแล้ว เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ก็ไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร ข้อหาดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาย่อมยุติไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยในข้อหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ไม่ควรรับฟังคำให้การพยานในชั้นสอบสวนควรรับฟังเฉพาะแต่คำให้การพยานโจทก์ในชั้นศาลเท่านั้น เห็นว่าพยานหลักฐานใด ๆ ที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิด ย่อมรับฟังได้ ดังนั้น คำให้การพยานโจทก์ซึ่งให้การไว้ในชั้นสอบสวนใกล้เวลาเกิดเหตุไม่ทันได้คิดดัดแปลงข้อเท็จจริงย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ กฎหมายหาได้จำกัดให้รับฟังเฉพาะคำให้การพยานโจทก์ในชั้นศาลเท่านั้นไม่ เมื่อคำให้การพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนมิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหลอกลวงหรือมิชอบประการอื่น ศาลย่อมรับฟังมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดได้…สรุปแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share