คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5027/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้อง น.บุติคโดยย. เป็นจำเลย ขอให้บังคับชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้บัตรเครดิตธนาคาร โจทก์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยบรรยายฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีว่า จำเลยเป็นลูกค้าของธนาคารโจทก์ เปิดบัญชีเดินสะพัดไว้กับโจทก์และในส่วนที่เกี่ยวกับบัตรเครดิตธนาคารระบุว่า จำเลยยื่นคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งในคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันระบุว่า ย.ใช้ชื่อในการประกอบธุรกิจว่าน.บูติคในหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงระบุว่า น.บูติคโดย ย. เป็นผู้กู้ ส่วนในใบสมัครและข้อตกลงการเป็นผู้ถือบัตรเครดิตก็ระบุว่า น.บูติคโดยย. ย่อมเห็นได้ว่า น.บูติคเป็นนามสมญาในทางการค้าของย. ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่า น.บูติค ในช่องคู่ความ และที่ระบุว่าโจทก์ขอยื่นฟ้อง น.บูติคโดยย. จำเลยจึงหมายความถึงฟ้อง ย.ในนามเจ้าของสมญาน.บูติคโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ อุทธรณ์เช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 1,237,256.25 บาท และหนี้บัตรเครดิตธนาคารโจทก์เป็นเงิน 107,319.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงินหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี 622,122.25 บาท และต้นเงินบัตรเครดิตธนาคารโจทก์ 74,026.16 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นิ้งบูติคไม่มีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีกับนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ บุคคลธรรมดาในฐานะเจ้าของสมญาทางการค้าคือนิ้งบูติค โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องตอนหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นลูกค้าของธนาคารโจทก์ เปิดบัญชีเดินสะพัดไว้กับโจทก์ และอีกตอนหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับบัตรเครดิตธนาคารโจทก์ระบุว่า จำเลยยื่นคำขอเป็นผู้ถือบัตรเครดิตซึ่งในคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันนั้นระบุว่านางนงเยาว์ ไชยโรจน์ ใช้ชื่อในการประกอบธุรกิจว่า นิ้งบูติค ในหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงระบุว่า นิ้งบูติค โดยนางนงเยาว์ ไชยโรจน์เป็นผู้กู้ ส่วนในใบสมัครและข้อตกลงการเป็นผู้ถือบัตรเครดิตก็ระบุว่า นิ้งบูติค โดยนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า นิ้งบูติค เป็นนามสมญาในทางการค้าของนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ คำฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่า นิ้งบูติค โดยนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ จำเลย ในช่องคู่ความก็ดีที่ระบุว่าขอยื่นฟ้องนิ้งบูติค โดยนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ จำเลยก็ดี จึงหมายความถึงฟ้องนางนงเยาว์ ไชยโรจน์ ในนามเจ้าของนามสมญา นิ้งบูติค โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
อนึ่ง โจทก์อุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องอันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ เป็นการเสียเกินมา ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัย แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์

Share