คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทจำเลยทั้งสี่ไม่อาจทราบเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดขึ้นในภายหลังทั้งที่ดินและอาคารตามสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทก็ไม่ใช่ที่ดินที่จำเลยที่ 3 นำไปประกันหนี้ในคดีแพ่งที่จำเลยที่ 3 ถูกธนาคารฟ้องบังคับจำนอง และจำเลยที่ 3 เคยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารที่เคยขายให้แก่โจทก์ได้มาแล้ว กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 ถูกธนาคารฟ้องเป็นคดีแพ่งไม่แจ้งให้โจทก์ทราบจำนวนเงินที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ธนาคาร ปกปิดข้อเท็จจริงในการชำระหนี้ตามข้อตกลงที่ทำไว้ จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ขวนขวายขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและนำที่ดินพิพาทมาโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2539 ถึงวันที่ 21 กันยายน 2539 เวลากลางวันจำเลยทั้งสี่โดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยทั้งสี่บอกโจทก์ว่าจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1436 ถึง 1444 ตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พร้อมอาคารพาณิชย์ในที่ดินกับทรัพย์สินในอาคารให้แก่โจทก์ และจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ทันทีเมื่อโจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือครบถ้วนโดยไม่ติดภาระผูกพันซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวจำเลยทั้งสี่จำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่ยึดทรัพย์ดังกล่าวขายทอดตลาดไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ โจทก์หลงเชื่อยอมเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยทั้งสี่และวางเงินมัดจำไว้แก่จำเลยทั้งสี่ 2,000,000 บาท กับเข้าปรับปรุงอาคารดังกล่าวเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 11,123,700 บาท เมื่อถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์จำเลยทั้งสี่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ พิพากษายกอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสี่ทำสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทกับโจทก์ในวันที่ 21 กันยายน 2539 แต่เงื่อนไขที่ธนาคารนำมาบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ทั้งจำนวนเพื่อไถ่ถอนที่ดินทุกแปลงไม่ให้แบ่งชำระหนี้เพื่อปลดจำนองที่ดินเป็นรายแปลงตามเอกสารหมาย ป.จ.2 เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 อันเป็นเวลาภายหลังการทำสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทขณะทำสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทจำเลยทั้งสี่ไม่อาจทราบเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดขึ้นในภายหลัง ทั้งที่ดินและอาคารตามสัญญาจะซื้อจะขายรายพิพาทก็ไม่ใช่ที่ดินที่จำเลยที่ 3 นำไปประกันหนี้ในคดีหมายเลขดำที่ 14470/2538 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ที่จำเลยที่ 3 ถูกธนาคารฟ้องบังคับจำนอง และจำเลยที่ 3 เคยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคารที่เคยขายให้แก่โจทก์ได้มาแล้ว กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 ถูกธนาคารฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 14470/2538 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ไม่แจ้งให้โจทก์ทราบจำนวนเงินที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ธนาคาร ปกปิดข้อเท็จจริงในการชำระหนี้ตามข้อตกลงเอกสารหมาย ป.จ.2 จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ขวนขวายขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ธนาคารและนำที่ดินพิพาทมาโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการเพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ได้โต้เถียงว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน แต่เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามความเห็นของโจทก์เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share