คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5004/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1461วรรคสองสามีและภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและตามฐานะของตนก่อนจำเลยที่1จะได้รับมรดกจากมารดาจำเลยที่1ได้รับเงินเดือนเพียงเดือนละ1,800บาทต่อมาต้องคดีถูกออกจากราชการตามฐานะย่อมไม่อาจจะให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ได้แม้จำเลยที่1จะตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยก็เป็นเงินทุนของจำเลยที่2แต่เมื่อจำเลยที่1ได้รับมรดกจากมารดาฐานะของจำเลยที่1ดีขึ้นสามารถที่จะให้การอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ได้จึงต้องรับผิดให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์นับแต่ได้รับมรดกจนถึงวันฟ้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1564วรรคแรกบัญญัติว่าบิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์เห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวมิได้คำนึงถึงความสามารถและฐานะดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาฉะนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในฐานะอย่างไรบิดามารดาก็จำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้และให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์เสมอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รบอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมหาย มีบุตรด้วยกัน3 คน ประมาณปี 2528 จำเลยที่ 1 เริ่มประพฤติชั่ว ไม่เลี้ยงดูโจทก์และบุตรแล้วทิ้งร้างไป เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2533 โจทก์จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 ไปอยู่่กินและอุปการะเลี้ยงดูยกย่องจำเลยที่ 1 ฉันภริยาขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าทดแทนแก่โจทก์คนละ 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสาม
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ประพฤติชั่วหรือทิ้งร้างโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายทิ้งร้างจำเลยที่ 1 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ปี 2530 แต่ไม่ได้ทักท้วงฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสามสูงเกินความเป็นจริง จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า โจทก์เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์เรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองสูงเกินไป และโจทก์ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใดฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันและให้จำเลยทั้งสองชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์คนละ200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม2529 ถึงวันฟ้อง ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสามคน คนละ 1,500 บาทต่อเดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2529 จนกว่าบุตรแต่่ละคนจะบรรลุนิติภาวะ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ไม่เพียงใด ซึ่งในปัญหานี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคสอง บัญญัติว่า”สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ทั้งสามีและภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและตามฐานะของตนก่อนที่จำเลยที่ 1 จะได้รับมรดกจากมารดา จำเลยที่ 1 รับราชการตำรวจมียศเพียงสิบตำรวจเอก ได้เงินเดือน เดือนละ 1,800 บาทซึ่งเป็นเงินจำนวนน้อย โดยเฉพาะต่อมาจำเลยที่ 1 ต้องคดีถูกออกจากราชการตามฐานะย่อมไม่อาจจะให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ได้แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยเมื่อปี 2530 แต่ก็ต้องโดยเงินทุนของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 จึงอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถจะให้ความอุปการะแก่โจทก์ได้อยู่นั้นเอง แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับมรดกจากมารดา เมื่อปี 2530ฐานะของจำเลยที่ 1 ดีขึ้น สามารถที่จะให้การอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์ได้แล้ว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดให้การอุปกรณ์เลี้ยงดูโจทก์ตามที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมา โดยนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2530 ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับมรดกจากมารดาจนถึงวันฟ้องส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสามตั้งแต่เมื่อใด เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1564 วรรคแรก บัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์”บทบัญญัติดังกล่าวมิได้คำนึงถึงความสามารถและฐานะดังเช่นที่บัญญัติไว้สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ฉะนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในฐานะอย่างไร บิดามารดาก็จำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์เสมอ จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระค่าอุปกรณ์เลี้ยงดูบุตรนับแต่เดือนกรกฎาคม 2529 เป็นต้นไป จนกว่าบุตรแต่ละคนจะบรรลุนิติภาวะ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2530 จนถึงวันฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share