คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5000/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์รับซื้อฝากที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์รับโอนที่พิพาทเพียงว่า “โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์และสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์” ย่อมหมายความได้ว่า โจทก์ทราบว่าผู้ขายไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์แล้วยังรับซื้อไว้อีก พอถือได้แล้วว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยได้อยู่ในที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งหกสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งหกและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้นอีกให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว
จำเลยทั้งหกสำนวนให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงสัญญาขายฝากท้าย ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ จำเลยทั้งหกได้ครอบครองที่พิพาทมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่พิพาทตามฟ้องจำเลยทั้งหกมีกรรมสิทธิ์ดีกว่าโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งหกสำนวนให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งหกไม่ได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่าสิบปีโจทก์รับโอนที่ พิพาทโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งหกสำนวนขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งหกขนย้ายบรวิารและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๑๑ ตำบลบ้านพริก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก และให้จำเลยที่ ๔ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ส่วนจำเลยนอกนั้นให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งหกจะขนย้ายทรัพย์และออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งหกสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่าคำให้การของจำเลยทั้งหกในข้อ ๒ และข้อ ๓ เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งหกกล่าวอ้างต่อสู้คดีว่า จำเลยทั้งหกได้อยู่ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นควรให้จำเลยทั้งหกนำสืบในประเด็นดังกล่าวนี้ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์รับโอนที่พิพาทเพียงว่า “โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ซื้อมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง และสัญญาขายฝากไม่สมบูรณ์นั้น” ก็ย่อมหมายความได้ว่า โจทก์ทราบว่าผู้ขายไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์แล้วยังรับซื้อไว้อีกพอถือได้แล้วว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาท โดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ดังนั้นจำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยทั้งหกได้อยู่ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วหรือไม่ที่ศาล ล่างทั้งสองไม่ให้จำเลยนำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าวนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งหกข้อนี้ฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งหกข้ออื่นต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในประเด็นเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และโจทก์รับโอนโดยไม่สุจริตตามที่จำเลยทั้งหกให้การต่อสู้และมีคำพิพากษาต่อไป

Share