คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเช่าโรงเก็บสินค้าและการเช่าที่ดิน ก.ม.บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. ม.538
ส่วนสัญญาเช่ามีข้อความชัดเจนว่าจำเลยตกลงรับเช่าโรงหลังคาสังกะสีซึ่งเป็นของโจทก์ ไม่ใช่แต่เพียงที่ดินเพื่อไปปลูกสร้างโรงขึ้นเอง สัญญาเช่านี้ฝ่ายจำเลยรับรองได้ว่าเซ็นชื่อเป็นผู้เช่าในสัญญาเช่านั้นจริง ดังนี้การที่จำเลยจะขอสืบว่าไม่ได้เช่าโรงเก็บสินค้าของโจทก์ เช่าแต่ที่ดินเท่านั้น ถือว่าเป็นการขอสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.94
จำเลยให้การต่อสู้แต่เพียงว่าจำเลยเช่าที่ดินไม่ใช่เช่าโรงเรือน สัญญาไม่ถูกต้องเฉย ๆ เท่านี้มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เมื่อเอกสารสัญญาเช่ามีข้อความชัดแจ้งอยู่แล้วเช่นนี้จำเลยจะขอนำสืบให้เป็นอื่นได้ต่อเมื่อจำเลยได้กล่าวอ้างแสดงเหตุผลเป็นข้อต่อสู้โดยแน่ชัดว่ากรณีต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดตาม ม.94 วรรคท้าย จำเลยจึงนำสืบไม่ได้ทั้ง ก.ม.มีให้ศาลรับฟังพยานบุคคลในพฤติการณ์ดังกล่าว แม้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมให้นำสืบกันได้ก็ดี
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2499).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เช่าห้องเลขที่ ๒๐๕๙ และโรงเก็บสินค้าของโจทก์ที่ตำบลลุมพินี อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร เพื่อประกอบการค้าโดยไม่มีกำหนดเวลา บัดนี้จำเลยอ้างว่าห้องและโรงเก็บสินค้าเป็นของจำเลย โจทก์จึงบอกเลิกการเช่าแต่จำเลยไม่ยอมออกจากห้องและโรงเก็บสินค้าที่เช่า จึงขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย
จำเลยสู้ว่าห้องและโรงเก็บสินค้าจำเลยปลูกสร้างขึ้นจึงเป็นของจำเลย ๆ เพียงแต่เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์ สัญญาเช่าโจทก์อ้างไม่ถูกต้องกับความจริงจำเลยได้ทักท้วงแล้ว โจทก์รับว่าจะเปลี่ยนให้ใหม่แต่ก็ไม่ได้ทำจนบัดนี้ จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าเพราะจำเลยมิได้ตกลงไว้เช่นนั้น ส่วนค่าเช่าก็ค้างอยู่ ๒ เดือนโจทก์ไม่มาเก็บเอง และตัดฟ้องว่าจำเลยเช่าอยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะยังไม่ได้เลิกการเช่ากับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยเช่าเพื่อทำการค้าจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ๆ ส่วนโรงเก็บสินค้าฟังว่าจำเลยปลูกขึ้นเองไม่ใช่เป็นของโจทก์ สัญญาเช่าโรงเก็บสินค้าจึงไม่ผูกพันจำเลยและค่าเช่าฟังว่าค้างเฉพาะเดือนกันยายน,ตุลาคม ๒๔๙๕ จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องเช่า ให้จำเลยรื้อโรงเก็บสินค้าออกไปจากที่เช่าของโจทก์ และให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง ๑๖๐ บาท กับค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่าเดือนละ ๘๐ บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๕ ตลอดไปจนกว่าจะออกจากห้องและที่เช่าของ++โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อมาโดยศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่าโรงเก็บสินค้าเป็นของโจทก์ จำเลยได้เช่าห้องและโรงเก็บสินค้าเพื่อการค้าหาใช่เป็นเคหะเพื่ออยู่อาศัยไม่ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ๆ โจทก์มีสิทธิฟ้องได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโรงเก็บสินค้าเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากโรงเก็บสินค้าของโจทก์ นอกจากแก้พิพากษายืน
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกาว่าโรงเก็บสินค้าเป็นกรรมสิทธิของจำเลยและโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรื้อโรงเก็บสินค้านั้นออกจากที่ดินที่เช่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเก็บสินค้าด้วยเป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ ส่วนประเด็นข้ออื่นเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในประเด็นเรื่องโรงเก็บสินค้าตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมานั้นศาลฎีกาฟังว่าการเช่าโรงเก็บสินค้าอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องก็ดี การเช่าที่ดินตามที่จำเลยต่อสู้ก็ดี ก.ม.บังคับว่าการเช่าชนิดนี้ต้องทำเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. ม.๕๓๘ และคดีนี้โจทก์ได้แสดงเอกสารสัญญาเช่าเป็นหลักฐานแห่งการฟ้องร้อง คือหนังสือสัญญาเช่าหมาย จ.๑๒ ซึ่งจำเลยรับรองตามรายงานพิจารณาลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๙๖ ว่าได้เซ็นชื่อเป็นผู้เช่าในสัญญาเช่านั้นจริงแล้ว และในสัญญาเช่ามีข้อความชัดเจนว่าจำเลยตกลงรับเช่าโรงหลังคาสังกะสีซึ่งเป็นของโจทก์ไม่ใช่เช่าแต่เพียงที่ดินเพื่อไปปลูกสร้างโรงขึ้นเอง ดังนี้การที่จำเลยจะขอสืบว่าไม่ได้เช่าโรงเก็บสินค้าของโจทก์เช่าแต่ที่ดินเท่านั้น จึงเป็นการขอสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.๙๔
เอกสารสัญญาเช่ามีข้อความแจ้งชัดอยู่แล้วเช่นนี้จำเลยจะขอนำสืบเป็นอื่นได้ก็ต่อเมื่อจำเลยได้กล่าวอ้างแสดงเหตุผลเป็นข้อต่อสู้โดยแน่ชัดว่ากรณีต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดตาม ม.๙๔ วรรคท้าย แต่เรื่องนี้จำเลยให้การต่อสู้แต่เพียงว่าจำเลยเช่าที่ดินไม่ได้เช่าโรงเรือนสัญญาไม่ถูกต้องเฉย ๆ เท่านั้น มิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าไม่ถูกต้องอย่างไรศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่าไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง ม.๑๗๗ จึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นใน ม.๙๔ วรรคท้าย จำเลยนำสืบไม่ได้ตามข้อ ก.ม.ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบุคคล แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมให้นำสืบกันได้ก็ดี
เป็นเช่นนี้ศาลฎีกาจึงเห็นว่าโรงเก็บสินค้ารายนี้เป็นของโจทก์ซึ่งจำเลยได้เช่าจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่าหมาย จ.๑๒ และเมื่อโรงเก็บสินค้ารายนี้เป็นของโจทก์แล้วปัญหาเรื่องศาลชั้นต้นพิพากษานอกประเด็นและเกินคำขอหรือไม่ก็ตกไปในตัว
เหตุนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในผลแห่งคำพิพากษาที่ว่าโรงเก็บสินค้ารายพิพาทเป็นของโจทก์ให้ยกฎีกาจำเลย.

Share