คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4989/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นเลยว่าจำเลยที่1และที่2ได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนการที่ค้นพบเฮโรอีน2ถุงเล็กๆน้ำหนักเพียง1.3กรัมซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ของกลางจะฟังว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2532เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภทที่ 1 จำนวน 2 ถุง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 1.3 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยที่ 2ได้พาอาวุธปืนขนาด 11 มม. จำนวน 1 กระบอกหมายเลขทะเบียนสส.2/1622 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 และได้รับอนุญาตให้มีและใช้ติดตัวไปตามถนนสายเอเซีย อันเป็นทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์และมิได้รับยกเว้นตามกฎหมายเหตุเกิดที่ตำบลบ้านอิฐ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทองตามวันเวลาดังกล่าวเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมยึดอาวุธปืน ซองกระสุน 1 ซอง พร้อมกระสุน 6 นัด จากตัวจำเลยที่ 2ต่อมายึดได้เฮโรอีนจำนวนดังกล่าวนำส่งพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่จำเลยที่ 2 รับสารภาพฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 9/2533 ของศาลจังหวัดชัยนาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66,67, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83, 91, 371 ริบเฮโรอีนของกลางนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 9/2533ของศาลจังหวัดชัยนาท
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 66 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ10 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง)มาตรา 72 ทวิ (ที่ถูกมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง) อีกกระทงหนึ่งให้จำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานพาอาวุธปืนในชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีนของกลางคำขออื่นให้ยก
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 67ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี สำหรับจำเลยที่ 2เมื่อรวมกับโทษฐานพกอาวุธปืนแล้วเป็นจำคุก 2 ปี 4 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2532 เจ้าพนักงานตำรวจค้นและยึดเฮโรอีนจำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 1.3 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 1 ง-3971 กรุงเทพมหานครของจำเลยที่ 2 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1ว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์มีร้อยตำรวจเอกวรวิทย์เหล่างาม จ่าสิบตำรวจวิชัย วรเดช จ่าสิบตำรวจชาญชัย นิติสุรเดชและนายดาบตำรวจเดชา วิทยา เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 1 เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2532 ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ได้รับแจ้งจากนายดาบตำรวจเดชาซึ่งรับแจ้งจากสายลับว่าในตอนค่ำที่ปั๊มน้ำมันร่มไทร 2 โดยคนร้ายใช้รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 1 ง-3971 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะจึงวางแผนจับกุม โดยใช้รถวิทยุ 2 คันติดตามคนร้ายและให้จ่าสิบตำรวจวิชัยแต่งกายนอกเครื่องแบบขับรถยนต์ปิกอัพคอยสังเกตการณ์ที่ร้านอาหารยินดี ซึ่งอยู่ในปั๊มน้ำมันร่มไทร 2เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จ่าสิบตำรวจวิชัยขับรถยนต์ปิกอัพผ่านปั๊มน้ำมันร่มไทร 2 พบรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน1 ง-3971 กรุงเทพมหานคร ซึ่งสายลับแจ้งว่าเป็นรถของคนร้ายจอดอยู่ในปั๊มน้ำมันร่มไทร 2 บริเวณร้านอาหารยินดี จำเลยทั้งสามนั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้าน จ่าสิบตำรวจวิชัยจึงได้จอดรถซุ่มดูและวิทยุให้ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ ต่อมาเวลาประมาณ 20 นาฬิกามีชายคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์มาและเข้าไปนั่งคุยกับจำเลยทั้งสามประมาณ 5 ถึง 10 นาที ก็ออกไป ซึ่งสายลับแจ้งว่าหากมีชายขับรถจักรยานยนต์มาพบจำเลยทั้งสามแสดงว่านำเฮโรอีนมาส่งให้หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามก็นั่งรถยนต์ออกจากปั๊มน้ำมันขึ้นถนนสายเอเซียแล้วมุ่งหน้าไปทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจ่าสิบตำรวจวิชัยจึงรายงานให้ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ทราบร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ได้วิทยุให้นายดาบตำรวจเดชาและจ่าสิบตำรวจชาญชัยซึ่งประจำอยู่รถวิทยุคันหมายเลข 1109ออกติดตามไป ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์กับพวกใช้รถวิทยุคันหมายเลข 1121ติดตามไปเพื่อสกัดจับรถยนต์ของจำเลยทั้งสามมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ประมาณ 200 เมตร ก็กลับรถแล่นย้อนกลับมาทางทิศเหนือมุ่งหน้าไปทางแยกเข้าจังหวัดอ่างทอง จ่าสิบตำรวจวิชัยจึงวิทยุให้ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ทราบ ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์จึงวิทยุสั่งให้นายดาบตำรวจเดชาจอดรถซุ่มไว้เมื่อรถยนต์ของจำเลยทั้งสามแล่นกลับมาให้ขับรถวิทยุติดตามไป ส่วนร้อยตำรวจเอกวรวิทย์กับพวกใช้รถวิทยุจอดขวางถนนไว้ รถยนต์ของจำเลยทั้งสามขับมาจอดห่างรถวิทยุของร้อยตำรวจเอกวรวิทย์ประมาณ 100 เมตร รถวิทยุที่นายดาบตำรวจเดชาขับมาจอดเทียบรถจำเลยทั้งสาม นายดาบตำรวจเดชาและจ่าสิบตำรวจชาญชัยลงจากรถใช้ไฟสปอทไลท์ส่องรถจำเลยทั้งสามเห็นจำเลยที่ 1 ที่นั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับไขกระจกลงแล้วทิ้งสิ่งของออกจากรถ จากนั้นจำเลยที่ 2 ขับรถหลบหนีเข้าไปในโรงทำอิฐจอดทิ้งไว้แล้วหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในหนองน้ำซึ่งมีต้นผักตบชวาขึ้นหนาแน่น ร้อยตำรวจเอกวรวิทย์จึงได้วิทยุขอกำลังเจ้าพนักงานตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทองมาช่วยค้นหาจึงจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ พร้อมยึดรถยนต์ของจำเลยที่ 2ส่งพนักงานสอบสวน เห็นว่า พยานโจทก์เหล่านี้เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาก่อนไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 และที่ 2เชื่อว่าเบิกความไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น กล่าวคือเมื่อได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการรับส่งเฮโรอีนจึงได้วางแผนจับกุม โดยได้ซุ่มดู เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกจากร้านอาหารยินดีในปั๊มน้ำมันก็ขับรถไล่ตามรถจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาติด ๆ โดยไม่ได้คลาดสายตา เมื่อรถจำเลยที่ 1 ที่ 2 จอดได้ใช้ไฟสปอท์ไลท์ส่องไปที่รถจำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นจำเลยที่ 1 ไขกระจกลงและทิ้งสิ่งของลงมาจากรถ หลังจากนั้นก็ขับรถหลบหนีต่อไป พยานโจทก์ดังกล่าวก็ยังขับรถติดตามมาจนกระทั่งรถจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาจอดที่โรงทำอิฐและหลบหนีลงไปซุกซ่อนอยู่ในหนองน้ำ จึงได้ค้นหาและจับจำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ในสภาพเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลนไปหมด ได้ความว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นนายตำรวจมียศร้อยตำรวจโททั้งคู่ ถ้าจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดจริง ก็ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใดที่จำเลยที่ 1และที่ 2 จะหลบหนีในลักษณะหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2รู้ว่าตนเองมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองจึงได้พยายามหลบหนีเพื่อมิให้ถูกจับ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบอ้างว่า มาสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดีชิงทรัพย์ที่โรงงานทำอิฐดังกล่าว ถ้าเป็นดังจำเลยที่และที่ 2 อ้าง ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจลงไปในหนองน้ำซึ่งมีต้นผักตบชวาขึ้นหนาแน่นเช่นนั้นจำเลยที่ 1และที่ 2 ย่อมแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแสดงความบริสุทธิ์ได้อยู่แล้วข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่สมด้วยเหตุผลนอกจากนี้โจทก์ยังได้นำพลตำรวจตรีจิระ เครือสุวรรณรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พลตำรวจตรีณรง วิทยารักผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 1 พันตำรวจเอกไพรัช คนองเดชผู้กำกับการตำรวจทางหลวง 1 พันตำรวจเอกอำนาจ คล้ายเนียมรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง มาเบิกความว่าพลตำรวจตรีจิระได้มีคำสั่งให้ตรวจค้นรถยนต์ของกลางโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางซุกซ่อนอยู่ในประตูรถด้านซ้ายโดยมีแผ่นบุด้านในประตูปิดบังอยู่ พยานโจทก์เหล่านี้เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และในขณะตรวจค้นรถยนต์ของกลางได้ทำต่อหน้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยมีสื่อมวลชนและประชาชนยืนดูอยู่ด้วยจึงเชื่อว่าพบเฮโรอีนของกลางจริง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัญหาต่อมามีว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นเลยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีน การที่เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเฮโรอีน2 ถุงเล็ก ๆ น้ำหนักเพียง 1.3 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ของกลางจะฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหาได้ไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น โจทก์คงมีจ่าสิบตำรวจวิชัยแต่เพียงผู้เดียวมาเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 3 นั่งรับประทานอาหารร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ที่ร้านอาหารยินดีในปั๊มน้ำมันร่มไทร 2 ตอนที่พยานขับรถยนต์ปิกอัพผ่านร้านอาหารยินดีห่างประมาณ 10 ถึง 20 เมตร แต่พยานกลับเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 3 ถามค้านว่า แสงสว่างของไฟฟ้าในร้านอาหารยินดีนั้นสามารถที่จะมองเห็นหน้าและจำกันได้ในระยะ 10 เมตร ปรากฎว่าพยานขับรถผ่านหน้าร้านอาหารยินดีห่างประมาณ 10 ถึง 20 เมตรในขณะขับรถอยู่ด้วย จึงเป็นการยากที่จะจดจำหน้าตาจำเลยที่ 3 ได้ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของพยานปากนี้ว่า ลักษณะที่จำเลยทั้งสามนั่งอยู่ในร้านอาหารยินดีนั้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน จำเลยหนึ่งหรือสองคนหันหลังออกหน้าร้านอาหารยินดี โดยพยานก็มิได้เบิกความว่าจำเลยที่ 3 หันหน้าหรือหันหลังออกหน้าร้านอาหารยินดีที่พยานเห็นจำเลยที่ 3 จึงยังเป็นน่าสงสัยอยู่นอกจากนี้ยังได้ความจากจ่าสิบตำรวจชาญชัย นิติสุรเดช พยานโจทก์ซึ่งนั่งรถวิทยุติดตามรถคนร้ายมาเมื่อรถคนร้ายจอด รถวิทยุได้มาจอดใกล้รถคนร้ายจ่าสิบตำรวจชาญชัยได้ลงจากรถวิทยุใช้ไฟสปอทไลท์ฉายไปที่รถคนร้ายคงเห็นจำเลยที่ 1 ที่นั่งคู่กับคนขับเท่านั้น ไม่ได้เบิกความถึงว่ามีคนร้ายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังรถหรือไม่ และจำเลยที่ 3มิได้ถูกจับกุมในบริเวณที่เกิดเหตุ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ยังเป็นที่น่าสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share