คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามหลักกฎหมายทั่วไปไม่ว่าจะก่อนประมวลกฎหมายหรือภายหลังประมวลกฎหมายก็ดี เมื่อคนหนึ่งตายลงกรรมสิทธิในทรัพย์สินทั้งหลายของคนตายนั้นจะต้องตกทอดในที่สุด แม้จะไม่มีทายาทก็จะต้องตกเป็นของรัฐ
ข้อกำหนดในพินัยกรรมให้ทรัพย์สินเป็นของกลางโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ และไม่เป็นกรรมสิทธิ์แก่ใครนั้น เป็นการเลิกล้างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ความสำคัญในเรื่องทรัสต์คือการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือสั่งให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปอยู่แก่ทรัสต์โดยมีเงื่อนไขคำมั่นมัดทรัสต์อยู่ว่าทรัสตีจะต้องถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น เพื่อจัดการให้ผู้รับประโยชน์ได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ให้เป็นที่แน่นอน
่คำสั่งในพินัยกรรมที่ว่า เมื่อญาติพี่น้องของผู้ตายคนใดจะมาอยู่อาศัยในที่ดินของผู้ตายก็อยู่ได้ แต่ต้องขออนุญาตผู้ปกครองทรัพย์สินนั้นก่อน เมื่อผู้ปกครองทรัพย์เห็นสมควรอนุญาตให้แล้ว จึงจะอยู่ได้ดังนี้ ได้ชื่อว่าการตั้งทรัสต์มิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์โดยแน่นอน เป็นการขาดหลักในเรื่องทรัสต์ที่ได้ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าพระอักษรสมบัติ (เปล่งธนโกเศศ) เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกบ้านเรือนและที่ดิน ๓ โฉนดให้เป็นกองกลางระหว่างญาติจะได้อยู่อาศัย ห้ามมิให้ผู้จัดการมรดกหรือญาติพี่น้องคนใดเอาไปซื้อขาย, แลกเปลี่ยน, ยกให้หรือจำนำเป็นอันขาด และอนุญาตให้ญาติทุกคนมีสิทธิเข้าอยู่อาศัยได้โจทก์เป็นบุตรขุนธนโกเศศ (บ่าย) น้องร่วมบิดาเดียวกับพระอักษรสมบัติ เป็นผู้มีสิทธิจะเข้าอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินตามพินัยกรรม
จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ถูกจำเลยที่ ๓ ฟ้องในฐานกระทำผิดหน้าไม่จัดการทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมและจำเลยได้สมยอมกันแบ่งที่ดินมรดกให้จำเลยที่ ๓ เป็นเนื้อที่ ๓๐ ตารางวา และจะแบ่งบ้านและที่ดินที่เหลือ เพื่อนำเงินมาแบ่งกันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามพินัยกรรม จึงขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอม ซึ่งแบ่งกองมรดกให้จำเลยที่ ๓ ห้ามผู้จัดการมรดกและจำเลยมีให้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มรดกทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใด คงให้กองมรดกอยู่ในสภาพเดิม
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้มีสิทธิอาศัยตามพินัยกรรม
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าข้อกำหนดในพินัยกรรมเป็นโมฆะ เพราะไม่สามารถกำหนดตัวผู้มีสิทธิจะได้รับประโยชน์ตามพินัยกรรมเป็นการแน่นอน
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ ๑-๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามหลักกฎหมายทั่วไปไม่ว่าจะก่อนประมวลกฎหมายหรือภายหลังประมวลกฎหมายก็ดี เมื่อคนหนึ่งตายลง กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทั้งหมดของคนตายนั้น จะต้องตกทอดในที่สุดแม้จะไม่มีทายาทก็จะต้องตกเป็นของรัฐ ข้อกำหนดที่ให้ทรัพย์สินเป็นของกลางโอนกรรมสิทธิ์-ไม่ได้ และไม่เป็นกรรมสิทธิ์แก่ใครนั้น เป็นการเลิกล้างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน อาจเป็นไปได้ในรูปกฎหมายของบ้านเมือง ถ้าไม่ขัดกับรัฐธรรมจึงได้มีการเลี้ยงจัดตั้งขึ้นในรูปทรัสต์ ซึ่งกฎหมายของประเทศไทยก่อนใช่ประมวลกฎหมายได้รับรองบังคับให้เช่นกัน ความสำคัญในข้อแรกในเรืองทรัสต์ ก็คือ การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือสั่งให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น เพื่อจัดการให้ผู้รับประโยชน์ได้รับประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ต้องระบุไว้ให้เป็นที่แน่นอน ฉะนั้นคำสั่งในพินัยกรรมที่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ตกทอดไปยังผู้ใดนั้นหามีผลบังคับไม่โดยขัดกับหลักกฎหมายเรื่องกรรมสิทธิ์และไม่เป็นการก่อตั้งทรัสต์ อีกประการหนึ่งคำสั่งที่ว่าเพื่อญาติพี่น้องของพระอักษรสมบัติคนใดจะมาขออาศัยอยู่ก็ได้ แต่ต้องขออนุญาตหลวงสุนทรภักดีและนางสาวหุ่นก่อนนั้นศาลหามีอำนาจอาจเอื้อมไปบังคับหลวงสุนทรภักดีและนางสาวหุ่นให้เห็นชอบในการสมควรอนุญาตไม่ ดังนี้ญาติคนใดจะมีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินมรดกก็ได้ จึงไม่เป็นการแน่นอน ได้ชื่อว่าเป็นการก่อตั้งทรัสต์มิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์โดยแน่นอน เป็นการขาดหลักในเรื่องการตั้งทรัสต์ที่ยอมรับนับถือโดยทั่วไปอีกประการหนึ่ง
และเห็นว่า โจทก์ยังไม่มีสิทธิประการใดในทรัพย์มรดกของพระอักษรสมบัติไม่โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องคดีนั้นได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share