คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4985/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ บ. มีสิทธิเช่าอาคารพิพาทจากโจทก์ร่วม แต่สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อ บ. ตายสิทธิการเช่าย่อมระงับหรือสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังจำเลยซึ่งเป็นทายาท ส่วนคำพิพากษาของศาลอีกคดีหนึ่งที่วินิจฉัยว่า ฮ. ลงชื่อเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทของโจทก์ร่วมแทน บ. ในคดีระหว่าง ฮ. กับ บ. นั้นเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคาร มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี เมื่อ ฮ. ผู้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ร่วมยินยอมและจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิใช้อาคารพิพาท จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิโจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิการเช่าอาคารตึกแถว3 ชั้น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จังหวัดนครปฐมเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการค้า แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าไปครอบครองได้เพราะจำเลยและบริวารได้ครอบครองอยู่ในอาคารพิพาทนี้ โดยไม่มีอำนาจโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบและให้ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากอาคารพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยส่งมอบอาคารพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอย่างใดในอาคารพิพาทนี้อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมอาคารพิพาทนายบุ้นเอ็งเป็นผู้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ให้นางฮั่วจูเป็นผู้ทำสัญญาเช่าแทนปี 2526 นางฮั่วจูได้ฟ้องขับไล่นายบุ้นเอ็งและจำเลยออกจากอาคารพิพาท ศาลวินิจฉัยว่านางฮั่วจูเป็นผู้ถือสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนนายบุ้นเอ็ง พิพากษายกฟ้อง ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่65/2527 ดังนั้น นางฮั่วจูจึงมิใช่เจ้าของสิทธิในการเช่าอาคารพิพาท ไม่มีอำนาจโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้สิทธิการเช่าอาคารพิพาทไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขับไล่จำเลย และไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ทั้งค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าวก็สูงกว่าความเป็นจริง เมื่อโจทก์รับโอนสิทธิการเช่ามาจากนางฮั่วจู โจทก์จึงมิใช่เจ้าของสิทธิการเช่า ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์จัดการโอนสิทธิการเช่าในอาคารพิพาท โดยเปลี่ยนชื่อผู้เช่าจากชื่อโจทก์เป็นชื่อของจำเลยในฐานะผู้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนชื่อโจทก์ด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เดิมอาคารพิพาท นางฮั่วจูเป็นผู้ได้รับสิทธิการเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทมาจากนางฮั่วจูโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการให้โจทก์เป็นผู้เช่ารายนี้ถูกต้องตามระเบียบทุกประการโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิในอาคารพิพาท นายบุ้นเอ็งบิดาจำเลยก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และไม่มีอำนาจที่จะขัดขวางการเข้าไปทำประโยชน์ของโจทก์ในอาคารพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพิพาทห้องเลขที่ 291-293 ถนนรถไฟตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม และส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องตลอดไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากอาคารพิพาทสำหรับฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิการเช่าอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 ซึ่งถึงที่สุดแล้ว วินิจฉัยว่านางฮั่วจู แซ่ฮ้อ ลงชื่อเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทของโจทก์ร่วมแทนนายบุ้นเอ็ง แซ่จึง เมื่อนายบุ้นเอ็งถึงแก่ความตายสิทธิการเช่าต้องตกแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกนายบุ้นเอ็งแต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจากนางฮั่วจู และโจทก์ร่วมยินยอมให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแทนนางฮั่วจูในระหว่างที่โจทก์ โจทก์ร่วมและนางฮั่วจูดำเนินเรื่องขอเปลี่ยนตัวผู้เช่าตึกพิพาท ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 (ที่ถูกคือคดีแพ่งหมายเลขดำที่1046/2531) ได้มีคำสั่งให้โจทก์ร่วมระงับการโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่บุคคลภายนอก หลังจากนั้นโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาให้โจทก์เช่าอาคารพิพาทของโจทก์ร่วมซึ่งขัดคำสั่งศาล จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นบุคคลภายนอกที่กระทำการโดยสุจริตผลแห่งคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 ของศาลชั้นต้นจึงผูกพันโจทก์และโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) สิทธิการเช่าอาคารพิพาทจึงไม่ตกไปยังโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยนั้น เห็นว่า แม้จะฟังว่านายบุ้นเอ็งมีสิทธิเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ร่วม แต่สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อนายบุ้นเอ็งตายสิทธิการเช่าย่อมระงับหรือสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังจำเลย ซึ่งเป็นทายาทแต่อย่างใดสำหรับคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 ของศาลชั้นต้นเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคาร มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทจำเลยและนายบุ้นเอ็งบิดาจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์และโจทก์ร่วม เมื่อนางฮั่วจูผู้เช่าเดิมได้โอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ร่วมยินยอมและจัดให้โจทก์ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิใช้อาคารพิพาท จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยไม่มีสิทธิเป็นการอยู่โดยละเมิดโต้แย้งสิทธิโจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้”
พิพากษายืน

Share