แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 5 ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 5 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก รถยนต์ดังกล่าวของโจทก์ที่ 5 ได้ถูกจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศชนได้รับความเสียหายโดยความประมาท ของจำเลยที่ 1โจทก์ที่ 5 ต้องเสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน 80,300 บาทเงินค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ที่ 5 จำนวน 80,300 บาท นี้เป็นยอดค่าเสียหายรวมที่โจทก์ที่ 5 ต้องการให้จำเลยทั้งสี่ทราบว่า ผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ที่ 5 เสียหายคิดเป็นเงินทั้งหมดเท่าไร ค่าเสียหายส่วนนี้จำเป็นที่โจทก์ที่ 5 จะต้องบรรยายไว้ในฟ้อง ส่วนรายละเอียดแห่งความเสียหายที่ว่าโจทก์ที่ 5 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถส่วนไหนเป็นเงินเท่าไร แม้โจทก์ที่ 5 จะไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่ 5 เคลือบคลุมไม่ เพราะโจทก์ที่ 5 ชอบที่จะนำสืบถึงรายละเอียดแห่งการซ่อมในชั้นพิจารณาได้ จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันเกิดเหตุโดยประมาทเพียงฝ่ายเดียว หากจำเลยที่ 1 ไม่ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันดังกล่าวล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนที่เกิดเหตุเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 6 การเฉี่ยวชนของรถยนต์ทั้งสองคันและความเสียหายทั้งปวงก็จะไม่เกิดขึ้นจำเลยที่ 3 นายจ้างของจำเลยที่ 1 จะเฉลี่ยความรับผิดไปให้แก่โจทก์ที่ 6 ด้วยไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ผู้เสียหายจากการที่ถูกผู้อื่นทำให้เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยชอบที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำให้เสียหายได้ แม้ค่าเสียหายนั้น มิใช่ตัวเงินก็ตาม กฎหมายมาตรานี้มิได้บังคับให้เรียกได้เฉพาะค่าเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้หากแต่บัญญัติเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเรียกค่าเสียหายที่คำนวณเป็นเงินไม่ได้แต่กำหนดขึ้นมาเพื่อทดแทนความเสียหายนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 6ที่ต้องทุกข์ทรมานในระหว่างรักษาตัวเป็นตัวเงินจึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ที่ 6 ได้รับอันตรายแก่กาย ถึงขนาดม้ามแตก ไตแตก และตับ ขาด จนแพทย์ต้องผ่าตัดไตทิ้งไปข้างหนึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายของเสียได้ตามปกติ ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ร่างกายของโจทก์ที่ 6 ซึ่งมีอวัยวะไม่ครบบริบูรณ์จะต้องอ่อนแอ กว่าตอนที่โจทก์ที่ 6 ไม่ได้รับอันตรายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ลักษณะของความอ่อนแอ หรือความเสื่อมโทรมของร่างกายของโจทก์ที่ 6 นี้ แม้โจทก์ที่ 6จะยังประกอบการงานตามปกติได้ก็ตาม แต่ความอ่อนแอ หรือความเสื่อมโทรมนั้นจะค่อยเป็นค่อยไปจนในที่สุดโจทก์ที่ 6ก็จะมีร่างกายที่อ่อนแอ หรือเสื่อมโทรมเร็วกว่าที่ควรจะเป็นไปตามปกติ และจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเหมือนก่อน ในระหว่างพักรักษาตัว โจทก์ที่ 5 ได้จ่ายค่าแรงงานให้โจทก์ที่ 6 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าจ้างเงินค่าแรงงานส่วนที่โจทก์ที่ 6 ไม่ได้รับอีกครึ่งหนึ่งนี้เห็นได้ว่าเป็นการเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานอันเป็นผลจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 โดยตรงโจทก์ที่ 6 ชอบที่จะเรียกเอาจากจำเลยที่ 3 ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1ผู้ทำละเมิดได้ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 มีผลประโยชน์ในกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3หรือไม่นั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ให้การทั้งสองสำนวนรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว และจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้ฎีกาขึ้นมาจึงไม่มีประเด็นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ย่อยาว
สำนวนแรกโจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 กับนายจิรศักดิ์สมชัยชนะเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 2 และที่ 3เป็นบุตรของโจทก์ที่ 1 กับนายจิรศักดิ์ โจทก์ที่ 4 เป็นมารดาของนายจิรศักดิ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724 กรุงเทพมหานครและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ได้นำรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันดังกล่าวเข้าร่วมในเส้นทางสัมปทานเดินรถของจำเลยที่ 2 โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนแบ่งปันกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2526 เวลากลางคืนจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724กรุงเทพมหานคร รับคนโดยสารจากกรุงเทพมหานคร เพื่อไปส่งยังจังหวัดภูเก็ต ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามทางหลวงหมายเลข 4ระหว่างกิโลเมตรที่ 106-107 ตำบลอ่างทอง อำเภอเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรี จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันดังกล่าวด้วยความเร็วสูง และขับแซงรถยนต์ คันอื่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรีซึ่งแล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารปรับอากาศคันที่จำเลยที่ 1ขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรีทำให้รถยนต์โดยสารปรับอากาศคันที่จำเลยที่ 1 ขับได้รับความเสียหายและนายจีรศักดิ์ผู้โดยสารถึงแก่ความตายอันเนื่องจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ เป็นเงิน1,547,468 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2526จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสี่เรียกมาสูงเกความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ค่าใช้จ่ายในการปลงศพนายจิรศักดิ์ที่โจทก์ทั้งสี่เรียกมาสูงเกินฐานานุรูปของผู้ตาย ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกหกล้อคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศ อันหมายเลขทะเบียน10-9724 กรุงเทพมหานครในฐานะลูกจ้างหรือตัวแทนที่ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างหรือใช้วานของจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และที่ 5 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724 กรุงเทพมหานครร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 และร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยมีผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3และที่ 4 เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการรับส่งคนโดยสาร และร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 5 ครอบครองและมีผลประโยชน์ร่วมกันในรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724 กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 5 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและเป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724 กรุงเทพมหานครโดยแสวงหาผลประโยชน์จากรถยนต์คันดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2526 เวลา 20.50 นาฬิกาโจทก์ที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกหกล้อคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรีบรรทุกไม้ฟืนเต็มคันรถแล่นมาตามถนนเพชรเกษม จากทางอำเภอปากท่อจังหวัดราชบุรี มุ่งหน้าไปยังจังหวัดราชบุรี ด้วยความระมัดระวังและด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนดในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 2 เมื่อถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 106-107 ตำบลอ่างทอง อำเภอเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรี ได้มีจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันหมายเลขทะเบียน 10-9724 กรุงเทพมหานครแล่นสวนทางมาด้วยความประมาทกล่าวคือ จำเลยที่ 1 มองเห็นอยู่แล้วว่าทางข้างหน้ามีรถยนต์บรรทุกหกล้อที่โจทก์ที่ 2 ขับ กำลังแล่นสวนทางมา แต่จำเลยที่ 1 ก็หาได้ชะลอความเร็วของรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับและขับเข้าอยู่ในช่องเดินรถของจำเลยที่ 1 ไม่ กลับขับด้วยความเร็วสูงแซงรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งที่แล่นอยู่ข้างหน้าล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของรถยนต์บรรทุกหกล้อคันที่โจทก์ที่ 2 กำลังขับในระยะกระชั้นชิด โจทก์ที่ 2หักหลบไปทางซ้ายแต่ไม่พ้นจึงเกิดชนกันนั้น รถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 1 เสียหาย และโจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็ดสาหัส ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 357,872 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 332,905 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า รถของจำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายและจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องประกาศกระทรวงทั้งสองเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดราชบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1276/2527 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างมาสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า เหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเกิดชนกันได้เกิดจากความผิดของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากโจทก์ที่ 2 ที่ขับรถคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรี ด้วยความเร็วสูงและขับล้ำเส้นทางเข้าไปในช่องเดินรถของรถยนต์คันหมายเลข 10-9724 กรุงเทพมหานครขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 สำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 4 เรียกโจทก์ที่ 1 ที่ 2 สำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 5 และที่ 6 เรียกจำเลยที่ 1 ทั้งสองสำนวนว่าจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2สำนวนแรกและจำเลยที่ 4 สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 เรียกจำเลยที่ 3สำนวนแรกและจำเลยที่ 2 สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 3 เรียกจำเลยที่ 3ที่ 5 สำนวนหลังว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 5 และที่ 6 ยื่นคำร้องขอถอนคำฟ้องจำเลยที่ 5 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 1,253,875 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ร่วมกันชำระเงินจำนวน 126,000 บาท และจำนวน 47,604 บาท แก่โจทก์ที่ 5 และที่ 6 ตามลำดับ พร้อมกับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินแต่ละจำนวนนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2526เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงินจำนวน 240,000 บาทและให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ใช้ค่าซ่อมรถ ค่าเช่ารถให้โจทก์ที่ 5จำนวน 80,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ที่ 5ในสำนวนหลังเคลือบคลุม เพราะสำเนาบิลค่าซ่อมรถยนต์บรรทุกหกล้อของโจทก์ที่ 5 ไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าอะไร เพียงแต่ระบุว่าเป็นค่าซ่อมลอย ๆ ทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถต่อสู้คดีได้นั้น เห็นว่า ในสำนวนหลังโจทก์ที่ 5 ได้บรรยายฟ้องไว้โดยแจ้งชัดแจ้งว่า โจทก์ที่ 5เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-3569 เพชรบุรีรถยนต์คันดังกล่าวของโจทก์ที่ 5 ได้ถูกจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ทำละเมิดคือขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศในความครอบครองของจำเลยที่ 3 ชนได้รับความเสียหายโดย ความประมาทของจำเลยที่ 1โจทก์ที่ 5 ต้องเสียค่าซ่อมไปเป็นเงิน 80,300 บาท เงินค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ที่ 5 จำนวน 80,300 บาท นี้ เป็นยอดค่าเสียหายรวมที่โจทก์ที่ 5 ต้องการให้จำเลยทั้งสี่ทราบว่าผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ที่ 5 เสียหาย คิดเป็นเงินทั้งหมดเท่าไร ค่าเสียหายส่วนนี้จำเป็นที่โจทก์ที่ 5 จะต้องบรรยายไว้ในฟ้อง ส่วนรายละเอียดแห่งความเสียหายที่ว่าโจทก์ที่ 5 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถส่วนไหนเป็นเงินเท่าไร แม้โจทก์ที่ 5 จะไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์ที่ 5 เคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาไม่ เพราะโจทก์ที่ 5 ชอบที่จะนำสืบถึงรายละเอียด แห่งการซ่อมให้ชั้นพิจารณาได้
ส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งหกมากน้อยเพียงใดนั้นประการแรกจำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันเกิดเหตุเข้าไปชนรถยนต์บรรทุกหกล้อ คันที่โจทก์ที่ 6 ขับในช่องเดินรถที่โจทก์ที่ 6 ขับสวนทางมาก็ตาม แต่โจทก์ที่ 6 ก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วย จำเลยที่ 3 จึงไม่ควรรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งหกเกินกว่า 3 ใน 5 ส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศอันเกิดเหตุโดยประมาทเพียงฝ่ายเดียว หากจำเลยที่ 1 ไม่ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันดังกล่าวล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนที่เกิดเหตุเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ที่ 6 การเฉี่ยวชนของรถยนต์ทั้งสองคันและความเสียหายทั้งปวงก็จะไม่เกิดขึ้น จำเลยที่ 3 จะเฉลี่ยความรับผิดไปให้แก่โจทก์ที่ 6 ด้วยไม่ได้
ในส่วนของค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ที่ 6 จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าค่าเสียหายอันเกิดจากความทุกข์ทรมานในระหว่างที่โจทก์ที่ 6ต้องรักษาตัวอยู่ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดเป็นตัวเงินให้จำนวน 6,000 บาทโจทก์ที่ 6 ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 3 เป็นตัวเงินเพราะค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายในเรื่องนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 กำหนดให้เรียกค่าเสียหายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติว่า “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดีในกรณีทำให้เข้าเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้” โดยบทบัญญัติของกฎหมายมาตรานี้จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายจากการที่ถูกผู้อื่นทำให้เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยชอบที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำให้เสียหายได้ แม้ค่าเสียหายนั้นจะมิใช่ตัวเงินก็ตาม กฎหมายมาตรานี้มิได้บังคับให้เรียกได้เฉพาะค่าเสียหายที่คำนวณเป็นเงินได้ หากแต่บัญญัติเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายเรียกค่าเสียหายที่คำนวณเป็นเงินไม่ได้แต่กำหนดขึ้นมาเพื่อทดแทนความเสียหายนั้นที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 6 ที่ต้องทุกข์ทรมานในระหว่างรักษาตัวเป็นตัวเงินจำนวน 6,000 บาท จึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ส่วนค่าเสียหายของโจทก์ที่ 6 ที่ไม่สามารถทำการงานได้ตามปกติเหมือนเดิมเพราะอวัยวะในร่างกายไม่สมบูรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ที่ 6เป็นเงิน 30,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 6 ยังมีความสามารถทำการงานได้ตามปกติ ไม่ควรที่จะกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 6 นั้น เห็นว่า เมื่อผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ที่ 6 ได้รับอันตรายแก่กายถึงขนาดม้ามแตก ไตแตกและตับขาดจนแพทย์ต้องผ่าตัดไตทิ้งไปข้างหนึ่ง เป็นเหตุให้ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายของเสียได้ตามปกติ ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ร่างกายของโจทก์ที่ 6 ซึ่งมีอวัยวะไม่ครบบริบูรณ์จะต้องอ่อนแอ กว่าตอนที่โจทก์ที่ 6ไม่ได้รับอันตรายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ลักษณะของความอ่อนแอ หรือความเสื่อมโทรมของร่างกายของโจทก์ที่ 6 นี้ แม้โจทก์ที่ 6 จะยังประกอบการงานตามปกติได้ดังที่จำเลยที่ 3 กล่าวในฎีกาก็ตาม แต่ความอ่อนแอ หรือความเสื่อมโทรมนั้นจะค่อยเป็นค่อยไปจนในที่สุดโจทก์ที่ 6 ก็จะมีร่างกายอ่อนแอ หรือเสื่อมโทรมเร็วกว่าที่ควรจะเป็นไปตามปกติ และเชื่อว่าโจทก์ที่ 6 จะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเหมือนก่อนที่โจทก์ที่ 6 จะได้รับอันตรายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ 6 ในส่วนนี้เป็นเงิน 30,000 บาท นั้นเหมาะสมแล้ว
สำหรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ 6 ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าขาดแรงงานที่ควรจะได้จากโจทก์ที่ 5 ตามปกติอีกเดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา4 เดือนคิดเป็นเงิน 6,000 บาท ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ที่ 6ไม่ควรจะได้หรือถ้าจะได้ก็ไม่ควรเกิน 3,600 บาท นั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 6 นำสืบว่าในระหว่างพักรักษาตัวโจทก์ที่ 5 ได้จ่ายค่าแรงงานให้โจทก์ที่ 6 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าจ้างคือวันละ 50 บาทเงินค่าแรงงานส่วนที่โจทก์ที่ 6 ไม่ได้รับอีกครึ่งหนึ่งนี้ เป็นการเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานอันเป็นผลจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 โดยตรงโจทก์ที่ 6 ชอบที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 3 ผู้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินค่าแรงให้แก่โจทก์ที่ 6 อีกจำนวน 6,000 บาทนั้นชอบแล้ว
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4 หรือไม่ และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4มีผลประโยชน์ในกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3 หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีทั้งสองสำนวนรับว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศคันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุเมื่อฟังว่าเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ทั้งจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้ฎีกาขึ้นมาจึงไม่มีประเด็นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน