แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องอ้างว่า ส. มีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่กลับมาจดทะเบียนสมรสซ้อนกับผู้ร้องอีก การสมรสระหว่าง ส. กับผู้ร้องย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1497 เมื่อบทบัญญัติในมาตรา 1497 ให้สิทธิผู้ร้องในฐานะบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย ร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะได้ ผู้ร้องจึงชอบที่จะเสนอคดีของผู้ร้องโดยทำเป็น คำร้องขอได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ผู้ร้องและนายสมชาย พินิจ จดทะเบียนสมรสกัน ณ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยนายสมชายยืนยันว่าตนไม่มีคู่สมรส นายทะเบียนหลงเชื่อจึงจดทะเบียนให้ปรากฏภายหลังว่าขณะนายสมชายจดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องนายสมชายมีคู่สมรสอยู่แล้ว การสมรสระหว่างนายสมชายกับผู้ร้องจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497ประกอบมาตรา 1452 ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2540 ผู้ร้องในฐานะผู้มีส่วนได้เสียจึงกล่าวอ้างขึ้นโดยยื่นคำร้องขอต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมูลคดีเกิด ขอให้มีคำสั่งว่าการสมรสเป็นโมฆะตามมาตรา 1497 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า กรณีต้องทำเป็นคำฟ้องไม่รับคำร้องขอของผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลให้ผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องที่ผู้ร้องอ้างว่านายสมชาย พินิจ มีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่กลับมาจดทะเบียนสมรสซ้อนกับผู้ร้องอีก เช่นนี้การสมรสระหว่างนายสมชายกับผู้ร้องย่อมเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1497 และในมาตรา 1497 นั้นเอง ก็ให้สิทธิผู้ร้องในฐานะบุคคลผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะได้ เช่นนี้การเสนอคดีของผู้ร้องโดยทำเป็นคำร้องขอนั้นจึงชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 แล้ว
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป