คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4981/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทตามฟ้องหรือไม่อย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่รับรอง เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เพราะเหตุไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ชาวบ้านซึ่งรวมถึงผู้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ใช้ซอยพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกโดยเจตนาให้ซอยพิพาทเป็นทางภาระจำยอม และระยะเวลาที่ใช้รวมกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382
ทางภาระจำยอมในส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยมีความกว้าง3 เมตร และจำเลยได้สร้างรั้วปิดกั้นทางภาระจำยอมส่วนนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าทางภาระจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้องกว้าง 6 เมตร มีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามโฉนดของจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่เป็นทางภาระจำยอมกว้างเท่าใด เพราะตามแผนที่ท้ายฟ้องระบุว่าทางภาระจำยอมอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้าง 3 เมตร และอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2และที่ 3 กว้าง 3 เมตร อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาจึงแก้ในส่วนนี้ให้ชัดเจน
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งแปด โจทก์ที่ 5 มิได้อุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ที่ 5ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๗/๒๕๓๒ ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีคงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ทั้งแปดฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๘ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งเหนือ) อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ ตามโฉนดเลขที่ ๑๑๑๙๔๕ เนื้อที่ประมาณ ๒๕ ตารางวาตามโฉนดเลขที่ ๔๓๒๘๐ เนื้อที่ประมาณ ๒๕ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๑๑๑๙๖๐เนื้อที่ประมาณ ๒๕ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๒๐๒๙๐๐ เนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวาตามโฉนดเลขที่ ๒๐๓๙๑ เนื้อที่ประมาณ ๑ งาน ๑๓ ตารางวา และตามโฉนดเลขที่๑๗๔๖๘๑ เนื้อที่ประมาณ ๕๐ ตารางวา ตามลำดับ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๓๘๗ เนื้อที่ประมาณ ๒ งาน ๒ ตารางวา จำเลยที่ ๒ และที่ ๓เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๗๔๐๖ และ ๔๓๒๗๘ เนื้อที่ ๔๑ และ ๕๐ตารางวา ตามลำดับ ที่ดินของโจทก์ทั้งแปดและจำเลยทั้งสามอยู่ที่ซอยโรงถ่านหรือท่าเรือ แยกจากซอยวัดด่านสำโรง ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งเหนือ) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (พระโขนง) จังหวัดสมุทรปราการ มีทางเข้าสู่ซอยโรงถ่านกว้าง ๖ เมตร ที่ดินของจำเลยทั้งสามตั้งอยู่ปากซอยโจทก์ต้องผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสามออกสู่ถนนซอยวัดด่านสำโรง เป็นเวลาติดต่อกันมาเกินกว่า ๑๐ ปี ทางดังกล่าวจึงเป็นภาระจำยอม จำเลยที่ ๑ ได้สร้างรั้วปิดกั้นทางในที่ดินของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทำบ้านและรั้วปิดกั้นทางดังกล่าว โจทก์ได้รับความเสียหาย ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามเปิดทางภาระจำยอม จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปิดกั้นนั้นเสียและเปิดทางภาระจำยอมมีความกว้าง ๖ เมตร ความยาวตลอดที่ดินของจำเลยทั้งสาม และจดทะเบียนภาระจำยอมแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมไปจดทะเบียน ขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ทั้งแปดเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่กล่าวอ้างหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ไม่ทราบและไม่รับรอง โดยเฉพาะโจทก์ที่ ๕ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ตามสำเนาโฉนดเอกสารท้ายฟ้อง และจำเลยที่ ๑ ไม่มีทางเข้าสู่ซอยโรงถ่านหรือท่าเรือ การท่าเรือแห่งประเทศไทยไม่เคยทำทางกว้าง๖ เมตร ผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินจากนายสุหัสน์ คุณจักรเนื้อที่ ๒ งาน ๒ ตารางวา ไม่มีผู้ใดใช้ที่ดินนี้เป็นทางเดินผ่าน โจทก์ดังกล่าวเพิ่งมาอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนไม่ถึง ๑๐ ปี จำเลยที่ ๑ ทำรั้วล้อมที่ดินของจำเลยที่ ๑ ซึ่งไม่ได้ตกอยู่ภายใต้ภาระจำยอม โจทก์ดังกล่าวไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ไม่เข้าใจสาระสำคัญของฟ้อง ไม่สามารถให้การแก้คดีได้ถูกต้องเนื่องจากฟ้องไม่ได้บรรยายว่า ซอยโรงถ่านหรือท่าเรือเป็นซอยอะไร อยู่ตรงไหนผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๑ ส่วนใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่เคยใช้ทางผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ใช่ทางภาระจำยอม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งแปดยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ถึงที่ ๘ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนสิ่งปิดกั้นเปิดทางภาระจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข ๑๐ มีความกว้าง ๖ เมตรมีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามโฉนดของจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑จดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์ทั้งหมด หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ถึงที่ ๘ มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ที่ ๑ จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๑๙๕๙ โจทก์ที่ ๒ จะเป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๖๒๑๕ โจทก์ที่ ๓ จะเป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๒๗๙ โจทก์ที่ ๔ จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๒๘๐โจทก์ที่ ๖ จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๙๐๐ โจทก์ที่ ๗ จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๓๙๑ โจทก์ที่ ๘ จะเป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๖๘๑ ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งเหนือ) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (พระโขนง) จังหวัดสมุทรปราการ หรือไม่อย่างไร จำเลยที่ ๑ไม่ทราบและไม่รับรองนั้น เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธว่าโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ถึงที่ ๘ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และที่ ๖ ถึงที่ ๘ เพราะเหตุไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อต่อไปมีว่าที่ดินของจำเลยที่ ๑ ตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ชาวบ้านซึ่งรวมถึงผู้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และโจทก์ที่ ๖ ถึงที่ ๘ กับโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และโจทก์ที่ ๖ ถึงที่ ๘ ได้ใช้ซอยพิพาทเป็นทางเข้าออกโดยเจตนาให้ซอยพิพาทเป็นทางภาระจำยอม และระยะเวลาที่ใช้รวมกันมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ประกอบด้วยมาตรา ๑๓๘๒
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ทางภาระจำยอมมีความกว้างเท่าใด ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า ทางภาระจำยอมในส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยที่ ๑ มีความกว้าง ๓ เมตร และจำเลยที่ ๑ ได้สร้างรั้วปิดกั้นทางภาระจำยอมส่วนนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าทางภาระจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้องมีความกว้าง ๖ เมตร มีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามโฉนดของจำเลยที่ ๑ นั้น ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินของจำเลยที่ ๑ ตกอยู่เป็นทางภาระจำยอมกว้างเท่าใดเพราะตามแผนที่ท้ายฟ้องระบุว่าทางภาระจำยอมอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ ๑ กว้าง๓ เมตร และอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กว้าง ๓ เมตร อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาจึงแก้ในส่วนนี้ให้ชัดเจนตามที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งแปด โจทก์ที่ ๕ มิได้อุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ที่ ๕ ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยจึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ รื้อถอนสิ่งปิดกั้น เปิดทางภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๓๘๗ ตำบลสำโรงเหนือ (สำโรงฝั่งเหนือ)อำเภอเมืองสมุทรปราการ (พระโขนง) จังหวัดสมุทรปราการ ของจำเลยที่ ๑มีความกว้าง ๓ เมตร มีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนทางภาระจำยอมให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ และโจทก์ที่ ๖ถึงที่ ๘ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ ๑.

Share