แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน150,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันในวงเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย กับจำเลยที่ 1 มอบสมุดบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีเงินฝากอยู่จำนวน 150,000บาท ให้โจทก์ยึดถือไว้และยอมให้โจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1เบิกเงินเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นเพราะโจทก์มีสมุดบัญชีเงินฝากเป็นหลักประกันและไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเกินกว่าวงเงินที่จำกัดไว้ในสัญญาค้ำประกัน กับการที่โจทก์ใช้สิทธิถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 มาหักชำระหนี้ก็ไม่เกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ถอนเงินฝากประจำมาหักชำระหนี้เมื่อใดก็ได้ แต่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ได้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1ได้ผิดนัดแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 กับตามสัญญาค้ำประกันก็ไม่มีข้อความยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 2 ว่าถ้าโจทก์ใช้สิทธิถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำมาหักชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้คุ้มกับจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดให้ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นอันหลุดพ้นความรับผิดหรือไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อีกต่อไป ทั้งไม่มีเหตุผลที่จะพึงให้เข้าใจว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำสัญญากันโดยมีเจตนาให้เกิดผลในลักษณะเช่นนั้นดังนั้น การที่โจทก์ถอนเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 จำนวน 196,186.28บาท มาหักชำระหนี้ จึงไม่เป็นผลให้จำเลยที่ 2 ไม่จำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ ในวันทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีว่าในส่วนที่เกินวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยนี้เป็นอัตราดอกเบี้ยที่มีอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 มิใช่อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงเพิ่มเติมภายหลังจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 150,000 บาท กำหนด 12 เดือน ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ15.5 ต่อปีทบต้นตามประเพณีธนาคารพาณิชย์เพื่อเป็นหลักประกันหนี้ตามสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีทั้งหมดของจำเลยที่ 1 รวมทั้งดอกเบี้ยโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นับแต่ทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเบิกเกินบัญชี และนำเงินเข้าบัญชีเป็นการเดินสะพัดบัญชีกับโจทก์ตลอดมา ครบกำหนดสัญญาแล้วก็ยังปฏิบัติต่อกันเรื่อยมา ระยะหลังจำเลยที่ 1 ขาดการติดต่อ และบัญชีไม่เดินสะพัด โจทก์เตือนให้นำเงินเข้าบัญชี จำเลยที่ 1 ก็เพิกเฉย โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 เดินสะพัดบัญชีต่อไป จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้เบิกเงินเกินบัญชีได้ในวงเงินไม่เกิน 150,000 บาท เท่านั้น และไม่เคยยินยอมให้โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกหนี้โจทก์จำนวน 50,000 บาท ตามเอกสารท้ายฟ้อง ในการค้ำประกันของจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 1 มีเงินฝากประจำเป็นประกันการชำระหนี้ 150,000 บาท อยู่ก่อน เมื่อโจทก์นำเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้วจำเลยที่ 2 จึงพ้นความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 50,985.87บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2527จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญามากน้อยเพียงใด จำเลยที่ 2 ก็ยังคงรับผิดไม่เกินไปกว่าจำนวนที่จำกัดความรับผิดไว้อยู่นั่นเอง หามีผลทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเกินกว่าจำนวนที่จำกัดความรับผิดไว้ไม่ อนึ่งที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญา ก็เป็นที่เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าเป็นเพราะโจทก์มีสิทธิที่จะถอนเงินฝากประจำจากบัญชีที่จำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ยึดถือไว้มาหักชำระหนี้ได้ และที่จำเลยที่ 1 ตกลงยอมให้โจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำมาหักชำระหนี้ได้ก็หาได้เกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำกับโจทก์ไม่ เพราะเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ข้อ 7ประกอบด้วย ข้อ 5 โจทก์มีสิทธิที่จะถอนมาหักชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเสียเมื่อใดก็ได้ โดยมิต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1ทราบ ไม่ว่าหนี้จะถึงกำหนดชำระ และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดแล้วหรือไม่ ส่วนหนี้ที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องชำระนั้นโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 เว้นแต่จะมีเหตุหนึ่งเหตุใดเกิดขึ้นอันจะเป็นเหตุให้โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2ชำระหนี้ได้ทันที แม้จะยังไม่ถึงกำหนดหรือจำเลยที่ 1 มิได้ผิดนัดดังที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกันข้อ 2 ทั้งตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำกับโจทก์ ก็ไม่มีความตอนใดระบุยกเว้นความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ว่า ถ้าโจทก์ใช้สิทธิถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำที่ยึดถือไว้นำมาหักชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้คุ้มกับจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิด ให้ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญา หรือไม่จำต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีเหตุผลใดที่จะพึงให้เข้าใจว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำสัญญากันโดยมีเจตนาที่จะให้เกิดผลในลักษณะเช่นนั้น ดังนั้น ที่โจทก์ถอนเงินฝากประจำของจำเลยที่ 1 จำนวน196,186.28 บาทมาหักชำระหนี้จึงไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ไม่จำต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีหรือไม่ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ว่าในวันทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีว่า ในส่วนที่เกินกว่าวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชียอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยนี้จึงเป็นอัตราดอกเบี้ยที่มีอยู่ในขณะที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 มิใช่อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงเพิ่มเติมในภายหลัง จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมรับผิดชำระดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 1,500 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์