แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้คู่ความยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาที่คู่ความฎีกาข้อหนึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงแต่คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เหลือต่อไปได้ โดยหาต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดไม่ คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไว้มีฐานะและนิติสัมพันธ์กับผู้มีชื่อซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยอย่างไรที่จะทำให้ผู้มีชื่อต้องร่วมรับผิดในศาลแห่งละเมิดนั้น โดยเฉพาะผู้ขับรถยนต์ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยหรือไม่ อันทำให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องร่วมรับผิดด้วยจึงไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3ง-9207กรุงเทพมหานคร จากบริษัทเทวาสหพัฒนกิจ จำกัด จำเลยได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ร-3403 กรุงเทพมหานครจากผู้มีชื่อ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกจากการใช้รถยนต์คันดังกล่าวที่ก่อความเสียหายขึ้นโดยผู้เอาประกันภัยหรือลูกจ้างหรือโดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัย เมื่อวันที่25 มกราคม 2533 เวลา 12 นาฬิกา ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ร-3403กรุงเทพมหานคร ซึ่งขับตามหลังรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9207กรุงเทพมหานคร ไปทางเดียวกัน ได้แซงรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9203กรุงเทพมหานคร ขึ้นไปทางขวาแล้วหักเข้าทางซ้ายอย่างกะทันหันทำให้เฉี่ยวชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9207 กรุงเทพมหานคร ที่บริเวณกันชนหลังด้านขวาและกระจกมองขวาโดยประมาท โจทก์เสียค่าซ่อมแซมเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 5,750 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 6,181 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 5,750 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน3 ง-9207 กรุงเทพมหานคร บริษัทเทวาสหพัฒนกิจ จำกัดไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ดังกล่าวที่จะเอามาประกันภัยกับโจทก์ได้โจทก์จ่ายค่าสินไหมทดแทนไปเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เองฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำละเมิดโดยเป็นผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ร-3403กรุงเทพมหานคร ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เพราะผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกในนามของผู้เอาประกันภัยก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องรับผิดเท่านั้น เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน3 ง-9207 กรุงเทพมหานคร โดยผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9207กรุงเทพมหานคร ได้หักรถออกไปทางขวาเบียดรถยนต์หมายเลขทะเบียน4 ร-3403 กรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตามหากฟังว่าผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ร-3403 กรุงเทพมหานคร เป็นฝ่ายประมาท ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9207 กรุงเทพมหานคร ก็มีส่วนประมาทด้วยและมากกว่าผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ร-3403 กรุงเทพมหานครค่าเสียหายจึงต้องเฉลี่ยไปตามส่วนแห่งความประมาททั้งรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ง-9207 กรุงเทพมหานคร ไม่เสียหาย หากจะเสียหายก็ไม่มากกว่า 2,000 บาท โจทก์ฟ้องเรียกร้องมาสูงเกินความเป็นจริงและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 3,250 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่7 มิถุนายน 2533 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาว่าศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานไม่ชอบซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้สืบพยาน ศาลชั้นต้นจึงฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ว่า ผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้เป็นฝ่ายประมาทชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายและกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ โดยอาศัยจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ แม้โจทก์จะไม่ได้นำนายสราวุธ เทพหัสดินพยานอีกปากหนึ่งมาสืบด้วยก็ดี และการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนารายวันประจำวันเกี่ยวกับคดีตามเอกสารหมาย จ.4 ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า3 วันก็ตามก็โดยเหตุที่เป็นเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก จึงหาต้องส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยไม่ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์จึงมิใช่การรับฟังพยานหลักฐานโดยขัดต่อกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นนั่นเอง อันเป็นข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายด้วยและอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงนั้นจึงหาถูกต้องไม่แต่เนื่องด้วยคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้ายจึงหาเป็นประโยชน์ไม่ ชอบที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ต่อไปทีเดียว เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในตอนแรกว่า จำเลยได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากผู้มีชื่อ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกจากการใช้รถที่ก่อความเสียหายขึ้นโดยผู้เอาประกันภัยหรือลูกจ้างหรือโดยความยินยอมของผู้เอาประกันภัยก็ตามก็คงเป็นการบรรยายถึงความรับผิดของจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้นแต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุที่ขับไปชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยมีฐานะเช่นใด มีนิติสัมพันธ์กับผู้มีชื่อซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยอย่างไรที่จะทำให้ผู้มีชื่อจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้น โดยเฉพาะผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยหรือไม่ อันทำให้จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องร่วมรับผิดด้วย เช่นนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์