คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีการค้าที่โจทก์ต้องชำระแล้วได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ตามแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าโดยผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดเป็นผู้นำไปส่งที่บ้านโจทก์แต่ไม่พบโจทก์จึงส่งให้คนในบ้านโจทก์รับแทน แม้จะไม่ได้ส่งแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่ต่อมาโจทก์ได้รับกับเจ้าพนักงานว่าโจทก์ได้ทราบการประเมินตามที่เจ้าพนักงานได้แจ้งไปแล้ว จึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้วตั้งแต่วันที่รับกับเจ้าพนักงาน โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด 30 วันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา 30 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ก็หามีผลให้อุทธรณ์นั้นกลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สรรพากรจังหวัดพระนครจำเลยที่ ๒ ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลโดยไม่ชอบ โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ กรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินถูกต้องแล้ว และจำเลยที่ ๑ ได้ยึดทรัพย์ของโจทก์ อ้างว่าโจทก์ค้างชำระภาษีและยึดรถยนต์ของภริยาโจทก์โดยไม่มีอำนาจ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีตามที่ประเมิน และเพิกถอนการยึดทรัพย์
จำเลยให้การว่า การเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ชอบแล้ว เมื่อโจทก์ค้างชำระค่าภาษีจำเลยที่ ๑ จึงยึดทรัพย์ของโจทก์ไว้โดยชอบ และได้รับอนุญาตให้เพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกินกำหนด ๓๐ วัน ไม่มีสิทธิอุทธรณ์และไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเจ้าพนักงานได้ประเมินภาษีการค้าที่โจทก์จะต้องชำระประจำปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๖๘,๙๗๐ บาทแล้ว เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ตามแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าที่ ๔๔/๒๕๐๔ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๐๔ เอกสารหมาย จ.ล.๕๖ นายประพัฒน์ เลาหศิริ ผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดพระนคร เป็นผู้นำเอกสารหมาย จ.ล.๕๖ ไปส่งที่บ้านโจทก์ที่สะพานสว่าง อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร แต่ไม่พบโจทก์นายประพัฒน์ได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้นางสาวสมพงษ์คนในบ้านโจทก์รับแทนตามใบรับเอกสารหมาย จ.ล.๖๖ ต่อมาวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๕ โจทก์ได้ไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรว่าโจทก์ได้ทราบการประเมินภาษีการค้าตามเอกสาร จ.ล.๕๖ แล้ว ขอผ่อนชำระภาษีการค้าเป็นงวด ๆ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกถ้อยคำของโจทก์และให้โจทก์ลงชื่อไว้ตามเอกสารหมาย จ.ล.๕๓ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๐๕ โจทก์มีหนังสือถึงสรรพากรจังหวัดพระนคร ขอผ่อนผันชำระภาษีเป็นรายเดือน ๆ ละ ๒,๕๐๐ บาทตามเอกสารหมาย จ.ล.๕๒ และเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๖ โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามเอกสารหมาย จ.ล.๕๘
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงนายประพัฒน์จะไม่ได้ส่งแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าเอกสารหมาย จ.ล.๕๖ ให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๕ โจทก์ได้รับกับเจ้าพนักงานว่าโจทก์ได้ทราบการประเมินตามที่เจ้าพนักงานได้แจ้งไปแล้ว จึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๕ โจทก์เพิ่งจะยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๐๖ เกินกำหนด ๓๐ วัน เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๐ ถึงคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ก็หามีผลให้อุทธรณ์นั้นกลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้อง
พิพากษายืน

Share