คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีปืนพก 1 กระบอกติดตัวไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ปืนดังกล่าวยิง 3 นัด เพื่อสะดวกแก่การปล้น แต่นำสืบว่าจำเลยกับพวกมีปืนติดตัวไป 3-4 กระบอก แล้วใช้ปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทั้งสอง ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แตกต่างในข้อสารสำคัญอันจะต้องยกฟ้อง
แม้จะปรากฏว่าคนร้ายใช้ปืนตีศีรษะพวกของผู้เสียหาย และใช้ปืนยิงผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 และ 288 หรือ 289ประกอบด้วย 80 ด้วยนั้น ก็ไม่ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนพก 1 กระบอก เป็นอาวุธติดตัวไปปล้นทรัพย์ ของนายคำ ยอดจวง และนางสวัสดิ์ ยอดจวงผู้เสียหาย โดยใช้ปืนขู่เข็ญจะทำร้ายผู้เสียหายกับพวกและใช้ปืนตีนายสนั่น สอนรอด และนายวัน สีจักพงษ์ พวกของผู้เสียหายแต่ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย กับใช้ปืนยิงรวม 3 นัด เพื่อให้เป็นความสะดวกในการปล้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2, 3 ปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ลงโทษจำคุก ยกฟ้องจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 มาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมปล้นทรัพย์รายนี้จริง และวินิจฉัยว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกมีปืนพก 1 กระบอกติดตัวไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายแล้วจำเลยกับพวกร่วมกันใช้ปืนดังกล่าวยิง 3 นัด เพื่อให้เป็นความสะดวกในการปล้นทรัพย์ แต่นำสืบว่าจำเลยทั้งสามกับพวกมีปืนติดตัวไปปล้นทรัพย์ 3-4 กระบอก แล้วใช้ปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทั้งสอง ก็เป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่แตกต่างในข้อสารสำคัญอันจักต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 และการที่คนร้ายใช้ปืนตีนายสนั่นและนายวันและยิงผู้เสียหายทั้งสอง แต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 และ 288 หรือ 289 ประกอบด้วยมาตรา 80 ด้วยนั้น ก็ไม่ทำให้ฟ้องไม่สมบูรณ์ อันจะต้องยกฟ้องดังที่จำเลยฎีกา

เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษจำเลยที่ 2 โดยใช้กฎหมายที่เป็นคุณ แก่จำเลยที่ 2 แล้ว ก็ชอบที่จะพิพากษาถึงจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีแต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาถึงจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก่เสียให้ถูก

พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share