แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยอนุมัติให้โจทก์เกษียณอายุก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 21มกราคม 2542 สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลยจึงสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 เป็นต้นไป แม้สัญญาจ้างกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน จำเลยก็คงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์เพียงวันที่ 21 มกราคม 2542 เท่านั้น ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่ 22ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542 ให้แก่โจทก์อีก
กฎหมายบังคับให้นายจ้างจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเฉพาะกรณีที่นายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่ได้บอกกล่าวแก่ลูกจ้างล่วงหน้า ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น การที่โจทก์ยื่นคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด แม้จะขอให้จำเลยอนุมัติให้ลาออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และจำเลยเพิ่งจะอนุมัติให้ลาออกในวันที่ 21 มกราคม 2542 ก็เป็นการยื่นคำขอและการอนุมัติให้ลาออกตามโครงการดังกล่าวนั่นเอง อันเป็นการอนุมัติให้ลาออกตามคำขอของโจทก์ จึงถือว่าเป็นการขอลาออกจากงานด้วยความสมัครใจของโจทก์มิใช่เป็นการเลิกจ้าง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์
โจทก์ยื่นคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนด แม้ไม่มีข้อความที่แสดงว่า โจทก์ยินยอมสละสิทธิการเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและ วันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามที่โจทก์มีสิทธิอยู่แล้ว แต่พระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 67 ที่กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้แก่ ลูกจ้างนั้นจะต้องเป็นกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มี ความผิดตามมาตรา 119 ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายลาออกเอง จำเลย จึงไม่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามสิบสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามสิบสองเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2541 จำเลยมีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยให้พนักงานยื่นคำขอตามแบบภายในวันที่ 15 มกราคม 2542เพื่อขอเกษียณอายุการทำงานตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 โจทก์ทั้งสามสิบสองยื่นคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตามโครงการดังกล่าวจำเลยอนุมัติเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2542 ตามโครงการพิเศษนี้โจทก์ทั้งสามสิบสองจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินบำเหน็จคำนวณจากเงินเดือนเดือนสุดท้าย X อายุงาน X 1.50 และเงินตอบแทนพิเศษคำนวณจากเงินเดือนเดือนสุดท้าย X (อายุงานที่เหลือก่อนเกษียณ + 6) ทั้งนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 12 เท่า และต้องไม่เกิน 20 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้ายโดยจำเลยจ่ายเงินเดือนเดือนสุดท้ายให้โจทก์ทั้งสามสิบสองเท่ากับเงินเดือนของเดือนธันวาคม 2541 ตามระเบียบข้อบังคับพนักงานของจำเลย การจ่ายค่าจ้างกำหนดจ่ายกันเป็นรายเดือนทุกวันที่ 25ของเดือน ถือเกณฑ์ 1 เดือน มี 30 วัน พนักงานของจำเลยได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดือนทุกคนเมื่อทำงานมาครบ 1 ปี ในปี 2542พนักงานจำเลยทุกคนได้ขึ้นเงินเดือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 โจทก์ทั้งสามสิบสองต้องได้รับเงินเดือนในอัตราใหม่ แต่จำเลยจ่ายให้ในอัตราเดิม ทำให้การคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนที่โจทก์ทั้งสามสิบสองจะต้องได้รับตามโครงการนี้คลาดเคลื่อนไป โดยโจทก์ทั้งสามสิบสองจะได้รับเงินบำเหน็จและเงินตอบแทนพิเศษน้อยลงและในเดือนมกราคม2542 จำเลยจ่ายเงินเดือนให้โจทก์แต่ละคนเพียง 21 วัน โดยคิดคำนวณจากอัตราเก่าซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะต้องใช้อัตราใหม่และจะต้องจ่ายให้เต็มเดือน จำเลยไม่ได้จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์ตามที่แต่ละคนมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีเหลืออยู่ และจำเลยไม่ได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ทั้งสามสิบสองด้วย ซึ่งจำเลยต้องจ่ายให้อย่างน้อย 1 เดือน ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ทั้งสามสิบสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่ละสำนวน
จำเลยทั้งสามสิบสองสำนวนให้การว่า การที่โจทก์ทั้งสามสิบสองยื่นคำขอเกษียณก่อนกำหนดโดยขอลาออกจากการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 เท่ากับสมัครใจลาออกก่อนทำงานครบเดือนดังกล่าว ดังนั้นการที่จำเลยจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ทั้งสามสิบสองโดยคำนวณถึงวันที่ 21 มกราคม 2542 จึงชอบแล้วการที่โจทก์ทั้งสามสิบสองตัดสินใจเข้าโครงการนี้เท่ากับตกลงสมัครใจลาออกตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 โดยยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขและสมัครใจที่จะยอมรับค่าตอบแทนตามที่จำเลยกำหนด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามสิบสองเป็นลูกจ้างของจำเลย เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2541 จำเลยได้ประกาศเรื่องโครงการพิเศษเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยกำหนดคุณสมบัติของพนักงานที่มีสิทธิจะขอเกษียณอายุก่อนกำหนดและเงื่อนไขในการขอเกษียณอายุก่อนกำหนดกับผลประโยชน์ตอบแทนไว้ตามประกาศเอกสารหมายล.4 สำหรับผลประโยชน์ตอบแทนที่จำเลยจะจ่ายให้แก่พนักงานที่ได้รับอนุมัติให้เกษียณอายุก่อนกำหนดนั้นได้แก่เงินบำเหน็จและค่าตอบแทนพิเศษ ซึ่งผลประโยชน์ตอบแทนทั้งสองประการดังกล่าวคำนวณจากฐานเงินเดือนเดือนสุดท้ายประกอบกับหลักเกณฑ์อื่นที่จำเลยกำหนดขึ้นโจทก์ทั้งสามสิบสองได้ยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ตามคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนดเอกสารหมาย ล.5 ถึง ล.36 จำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ทั้งสามสิบสองลาออกจากการเป็นพนักงานโดยเกษียณอายุก่อนกำหนดได้เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2542 การคำนวณผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่โจทก์แต่ละคนต้องนำอัตราเงินเดือนที่โจทก์แต่ละคนได้รับในเดือนสุดท้ายของปี 2541 เป็นฐานในการคำนวณ เพราะโจทก์ทั้งสามสิบสองไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นในปี 2542 เนื่องจากโจทก์ทั้งสามสิบสองไม่มีสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยจนถึงวันที่ 31มกราคม 2542 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์การขึ้นเงินเดือนประจำปี 2541ของจำเลยข้อ 5.5.2 ตามเอกสารหมาย ล.2 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในเดือนมกราคม 2542 ตั้งแต่วันที่ 22 ถึงวันที่ 31 รวม 9 วัน และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสอง เนื่องจากการเข้าร่วมโครงการพิเศษเกษียณอายุก่อนกำหนดดังกล่าวเป็นการลาออกด้วยความสมัครใจมิใช่เป็นการเลิกจ้างและสัญญาจ้างระหว่างโจทก์ทั้งสามสิบสองกับจำเลยสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 เป็นต้นไปแล้วการเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุดังกล่าวไม่มีข้อความเขียนไว้โดยชัดแจ้งว่า พนักงานผู้เข้าร่วมโครงการสมัครใจที่สละสิทธิไม่ขอรับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีรวมทั้งวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสม โจทก์ทั้งสามสิบสองจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมได้ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน36,577.36 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 12,570.88 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน15,058.60 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 23,385.12 บาท โจทก์ที่ 5 เป็นเงิน23,423.43 บาท โจทก์ที่ 6 เป็นเงิน 22,033.36 บาท โจทก์ที่ 7 เป็นเงิน11,136.88 บาท โจทก์ที่ 8 เป็นเงิน 3,398.36 บาท โจทก์ที่ 9 เป็นเงิน20,233.44 บาท โจทก์ที่ 10 เป็นเงิน 9,888 บาท โจทก์ที่ 11 เป็นเงิน22,445.76 บาท โจทก์ที่ 12 เป็นเงิน 4,961 บาท โจทก์ที่ 13 เป็นเงิน4,359.99 บาท โจทก์ที่ 14 เป็นเงิน 3,090 บาท โจทก์ที่ 15 เป็นเงิน20,117.76 บาท โจทก์ที่ 16 เป็นเงิน 538.18 บาท โจทก์ที่ 17 เป็นเงิน3,203.30 บาท โจทก์ที่ 18 เป็นเงิน 2,959.53 บาท โจทก์ที่ 19 เป็นเงิน20,317.78 บาท โจทก์ที่ 20 เป็นเงิน 5,771.40 บาท โจทก์ที่ 21 เป็นเงิน22,952.52 บาท โจทก์ที่ 22 เป็นเงิน 13,436.69 บาท โจทก์ที่ 23 เป็นเงิน9,636.68 บาท โจทก์ที่ 24 เป็นเงิน 5,748.77 บาท โจทก์ที่ 25 เป็นเงิน6,828.90 บาท โจทก์ที่ 26 เป็นเงิน 14,428.24 บาท โจทก์ที่ 27 เป็นเงิน4,706.07 บาท โจทก์ที่ 28 เป็นเงิน 1,793.92 บาท โจทก์ที่ 29 เป็นเงิน14,420 บาท โจทก์ที่ 30 เป็นเงิน 4,058.16 บาท โจทก์ที่ 31 เป็นเงิน16,797.36 บาท และโจทก์ที่ 32 เป็นเงิน 6,741.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินของโจทก์แต่ละคนนับจากวันที่ 18พฤษภาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์แต่ละคนเสร็จคำขออื่นให้ยกเสีย
โจทก์ทั้งสามสิบสองและจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามสิบสองประการสุดท้ายมีว่า จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่ 22ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542 และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์แต่ละคนหรือไม่เพียงใด เห็นว่า สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้และลูกจ้างก็มีหน้าที่ตอบแทนคือต้องทำงานให้แก่นายจ้างเช่นเดียวกัน คดีนี้เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่าจำเลยอนุมัติให้โจทก์ทั้งสามสิบสองเกษียณอายุก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 21มกราคม 2542 สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์ทั้งสามสิบสองและจำเลยจึงสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ 22 มกราคม 2542 เป็นต้นไป แม้สัญญาจ้างดังกล่าวจะกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนก็ตาม จำเลยคงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์แต่ละคนเพียงวันที่ 21 มกราคม 2542 เท่านั้นไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่ 22 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542 ให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสองอีก ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นกฎหมายบังคับให้นายจ้างต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเฉพาะในกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่ได้บอกกล่าวแก่ลูกจ้างล่วงหน้าตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น การที่โจทก์แต่ละคนยื่นคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนดตามโครงการพิเศษเกษียณอายุก่อนกำหนด แม้ว่าคำขอดังกล่าวจะขอให้จำเลยอนุมัติให้ลาออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และจำเลยเพิ่งจะอนุมัติให้ลาออกในวันที่ 21 มกราคม 2542 ก็ตาม แต่ก็เป็นการยื่นคำขอและการอนุมัติให้ลาออกตามโครงการพิเศษเกษียณอายุก่อนกำหนดนั่นเอง การอนุมัติของจำเลยดังกล่าวเป็นการอนุมัติให้โจทก์แต่ละคนลาออกตามคำขอของตนเอง จึงถือว่าเป็นการลาออกจากงานด้วยความสมัครใจของโจทก์แต่ละคน การที่จำเลยอนุมัติคำขอของโจทก์แต่ละคนดังกล่าวมิใช่เป็นการเลิกจ้าง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสอง อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามสิบสองฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสองหรือไม่ เห็นว่า แม้ในการยื่นคำขอเกษียณอายุก่อนกำหนดของโจทก์แต่ละคนจะไม่มีข้อความที่แสดงว่าโจทก์แต่ละคนยินยอมสละสิทธิการเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิอยู่แล้วก็ตาม แต่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 67 บัญญัติว่า”ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามมาตรา 119ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิและรวมทั้งวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมตามมาตรา 30″ ตามบทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายโดยชัดแจ้งว่าการที่นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้แก่ลูกจ้างนั้น จะต้องเป็นกรณีที่นายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้างโดยลูกจ้างมิได้มีความผิดตามมาตรา 119 แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังยุติได้ว่าโจทก์ทั้งสามสิบสองเป็นฝ่ายลาออกเอง จำเลยมิได้เป็นฝ่ายเลิกจ้างฉะนั้น จำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสองตามฟ้องที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้งสามสิบสองที่ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมให้แก่โจทก์ทั้งสามสิบสองเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง