แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เสียหายเมาสุราหาเรื่องเข้าชกจำเลยที่ 2 ก่อนจำเลยที่ 2 จึงชกสวนผู้เสียหายชกพลาดเนื่องจากเมาสุราจึงล้มคว่ำกับพื้นได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นเพียงการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายทำร้ายเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 2 จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และได้กระทำพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295 ปรับคนละ 800 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 5
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ผู้เสียหายเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุขณะเข้าไปในห้องทำงานนั้นเห็นจำเลยทั้งห้าอยู่ในห้อง และมีสุราอยู่บนโต๊ะ ผู้เสียหายถามถึงโอห์มมิเตอร์ที่หายและพูดจาขึ้นในทำนองต่อว่าจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ไม่พอใจ ได้เดินออกจากห้อง ผู้เสียหายจึงเอาแก้วขว้างลงกับพื้น จำเลยที่ 1 กลับเข้ามาชกผู้เสียหายและมีคนอื่นเข้ามาช่วยรุมทำร้าย เมื่อผู้เสียหายออกไปจากห้องก็ถูกจำเลยที่ 2ชก จำเลยที่ 1 เข้าไปช่วยจำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้เสียหายจึงเกิดชกต่อยกัน ระหว่างนั้นนายสมหวัง จันทร์วงษ์กับนายนันทวัฒน์ เจริญสัตย์มาเห็น ได้เข้าห้ามให้เลิกชกต่อยกันตามคำเบิกความของผู้เสียหายแสดงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายเข้าทำร้ายผู้เสียหายโดยที่ผู้เสียหายมิได้เป็นผู้ก่อเหตุก่อนแต่ก็มีเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของผู้เสียหายเท่านั้นนายนันทวัฒน์พยานโจทก์อีกคนที่เบิกความว่าเมื่อทราบว่ามีเรื่องทะเลาะกันได้ไปดูเห็นฝ่ายช่างเครื่องปรับอากาศทะเลาะกับผู้เสียหายแล้วเข้าชกต่อยกันนั้น แสดงว่าก่อนชกต่อยกันฝ่ายใดเป็นผู้ก่อเหตุนายนันทวัฒน์ก็ไม่เห็น สำหรับนายสมหวังก็เพียงเป็นผู้พาผู้เสียหายไปรักษาบาดแผลมิได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 เห็นว่าจำเลยทั้งห้าต่างเบิกความตรงกันว่า ผู้เสียหายเมาสุรา เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าไปในห้องผู้เสียหายได้ต่อว่าเรื่องโอห์มมิเตอร์หาย แล้วผู้เสียหายเอามือกวาดขวดน้ำและแก้วน้ำตกจากโต๊ะแตกกระจายบนพื้นและใช้มือปัดโทรศัพท์บนตู้เอกสารอีก เมื่อจำเลยที่ 1 เดินจากห้องก็เอาแก้วน้ำขว้าง และมีนางสาวณัฐกาญจน์ ดวงแก้ว กับนายสุขุม หลายไทยเป็นพยานเบิกความสนับสนุนคำจำเลยทั้งห้านอกจากนี้จำเลยทั้งห้ายังมีนายประเสริฐ โพธิสุวณผู้ช่วยนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยทั้งห้าและผู้เสียหายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพยาน จำเลยทั้งห้ามีความประพฤติดีและขยันทำงาน ส่วนผู้เสียหายเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้และชอบดื่มสุราเป็นประจำ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ผู้เสียหายนำสืบว่าได้ทะเลาะกับจำเลยที่ 1 และที 2 กับพวก แล้วถูกจำเลยทั้งห้าร่วมกันทำร้ายจึงไม่น่าเชื่อ ตามพฤติการณ์แห่งคดีดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นมีเหตุผลให้เชื่อได้ตามทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าผู้เสียหายเมาสุราหาเรื่องเข้าชกจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 2จึงชกสวน ผู้เสียหายชกพลาดเนื่องจากเมาสุราจึงล้มคว่ำลงกับพื้นได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายทำร้ายเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 2จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และได้กระทำพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดและข้อเท็จจริงก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องเช่นกัน”
พิพากษายืน