แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยตั้งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ฐานลาภมิควรได้ว่า จำเลยได้เงินจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และมีคำขอบังคับให้จำเลย คืนเงินตามสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419 ในเรื่องลาภมิควรได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์รู้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2529แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2531 พ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยเจตนาไม่สุจริตนำสัญญากู้ซึ่งระบุว่านางแผ้ว สารพิจิตร เป็นผู้กู้ มาขอกู้ยืมเงินไปจากโจทก์โจทก์เข้าใจว่านางแผ้วเป็นผู้กู้ จึงมอบเงินจำนวน 36,000 บาทให้แก่จำเลย เพื่อให้นำไปให้นางแผ้วตามที่จำเลยอ้าง ต่อมาศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 962/2531 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมโจทก์จึงรู้ว่าจำเลยได้เงิน 36,000 บาท ไปจากโจทก์ โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เนื่องจากจำเลยได้หลอกลวงโจทก์โดยปกปิดข้อสาระสำคัญ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 36,000 บาท แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยรับเงินจำนวน 36,000 บาทจากโจทก์ แต่รับไปเพียงจำนวน 20,000 บาท และต่อมาจำเลยชำระคืนให้โจทก์แล้วบางส่วน คงเหลือเงินที่ค้างชำระไม่เกิน5,000 บาท โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อเดือนกันยายน 2529 ซึ่งถือได้ว่าโจทก์ได้ทราบว่าตนมีสิทธิเรียกร้องเงินคืนฐานลาภมิควรได้ตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องอันพ้นระยะเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่โจทก์นำสืบ โดยจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2527 จำเลยได้ไปพบโจทก์แจ้งให้ทราบว่านางแผ้ว สารพิจิตร ต้องการที่จะกู้เงินโดยจะมอบโฉนดที่ดินและบัตรประจำตัวประชาชนของนางแผ้วเป็นประกัน นายเฉลียวสามีโจทก์ไม่ยอมให้กู้ เว้นแต่นางแผ้วจะมาทำสัญญากู้ยืมด้วยตนเองจำเลยจึงให้นายเฉลียวเขียนสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยเตรียมมา โดยจำเลยรับว่าจะนำไปให้นางแผ้วลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืม ส่วนจำเลยลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน ในวันต่อมาจำเลยก็นำสัญญากู้ ซึ่งมีชื่อนางแผ้วลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้พร้อมกับสัญญาค้ำประกันที่จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน โฉนดที่ดินและบัตรประจำตัวประชาชนมอบให้แก่โจทก์อ้างว่านางแผ้วมาทำสัญญาด้วยตนเองไม่ได้ โจทก์จึงมอบเงินให้แก่จำเลย ต่อมาเมื่อครบกำหนดชำระเงินคืน นายเฉลียวได้ทวงถามนางแผ้วนางแผ้วปฏิเสธว่าไม่เคยรับเงินกู้ยืมจากโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม กับได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยข้อหาความผิดดังกล่าว ในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมยกฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง คดีถึงที่สุดตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 962/2531 ของศาลชั้นต้น มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยตั้งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ฐานลาภมิควรได้ว่า จำเลยได้เงินจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และมีคำขอบังคับให้จำเลยคืนเงินตามสภาพแห่งข้อหาดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419 ในเรื่องลาภมิควรได้ ข้อเท็จจริงได้ความตามบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีอันยอมความกันได้ของโจทก์เอกสารหมาย ล.3ว่า โจทก์รู้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2529 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2531 พ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์