แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ไว้ 4 ประเด็นคือ ข้อ 1. เรื่องอำนาจฟ้อง ข้อ 2. จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์จำนวนเท่าใด ข้อ 3. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และข้อ 4. การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทนายจำเลยทั้งสองได้แถลงสละประเด็นในข้อ 4. ต่อมาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องกำหนดเวลาสิ้นสุดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี วันที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ครั้งสุดท้ายและถอนเงินครั้งสุดท้าย กับจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระขณะนั้น แล้วจำเลยที่ 1 แถลงไม่ติดใจประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ทนายโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานบุคคลเพียงขออ้างส่งพยานเอกสาร ส่วนทนายจำเลยทั้งสองก็ไม่ติดใจสืบพยาน นอกจากนี้คู่ความยังแถลงขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาให้เนิ่นนานออกไป เพื่อขอเวลาในการเจรจากันอีกครั้งเนื่องจากคดีอาจมีทางตกลงกันได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองสละประเด็นในเรื่องอำนาจฟ้องด้วยโดยปริยาย จึงคงเหลือแต่เพียงประเด็นข้อ 2. ที่ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์จำนวนเท่าใด ซึ่งคู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยตามพยานเอกสารที่โจทก์อ้างส่งและตามข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงรับ ศาลจึงไม่ต้องวินิจฉัยในเรื่องอำนาจฟ้องอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 14,315,154.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 10,589,285.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระแก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในอายุความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่นต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมของทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์จำนวน 199,800 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า คดีมีประเด็นในเรื่องอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ไว้ 4 ประเด็นคือ ข้อ 1. เรื่องอำนาจฟ้อง ข้อ 2. จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์จำนวนเท่าใด ข้อ 3. ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และข้อ 4. การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทนายจำเลยทั้งสองได้แถลงยอมรับว่าได้รับการทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว จึงขอสละประเด็นในข้อ 4 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ต่อมาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2545 ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2541 หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2541 ในระหว่างอายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 ถอนเงินครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2540 คงค้างชำระต้นเงินจำนวน 9,998,151.76 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยค้างชำระจนถึงเดือนตุลาคม 2540 แล้ว รวมเป็นเงิน 10,127,662.55 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ติดใจประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจริง ทนายโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานบุคคลเพียงขออ้างส่งพยานเอกสาร ส่วนทนายจำเลยทั้งสองก็แถลงไม่ติดใจสืบพยาน นอกจากนี้ทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสองยังแถลงขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาให้เนิ่นนานออกไป เพื่อขอเวลาในการเจรจากันอีกสักครั้งเนื่องจากคดีอาจมีทางตกลงกันได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองสละประเด็นในเรื่องอำนาจฟ้องด้วยโดยปริยาย จึงคงเหลือแต่เพียงประเด็น ข้อ 2. ที่ว่า จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์จำนวนเท่าใด ซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองขอให้ศาลวินิจฉัยตามพยานเอกสารที่โจทก์อ้างส่ง และตามข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองแถลงรับ ศาลจึงไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.