คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดทรัพย์สินที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่มี น.ส.3 ก. เพื่อบังคับคดีตามที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แล้วอันเป็นการยึดทรัพย์สินโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 283 วรรคแรก แม้จะปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ อ. ไปก่อนแล้วก็ไม่ทำให้การยึดทรัพย์ต้องเสียไป เพราะหากอ. ผู้มีชื่อใน น.ส.3 ก. อ้างว่าตนเป็นเจ้าของเนื่องจากได้รับการยกให้จากจำเลย อ. ก็ต้องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เมื่อ อ. มิได้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงไม่มีเหตุผลใดมาอ้างเพื่อเพิกถอนการยึด เพราะการมีชื่อใน น.ส.3 ก. ดังกล่าวมิได้หมายความว่า อ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแก่โจทก์ แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อออกขายทอดตลาดต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 4154 ปรากฏว่าจำเลยมิได้มีชื่อทางทะเบียน หากทำการขายทอดตลาดต่อไปจะเกิดความเสียหายต่อผู้มีชื่อทางทะเบียนหรือผู้ซื้อทรัพย์ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าว และให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมยึดโดยไม่มีการขายร้อยละ 3.5 มาชำระต่อศาลชั้นต้นใน 30 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่จำเลยนำมาให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันเงินกู้เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ แต่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งการยึดไปยังนายอำเภอหล่มสัก นายอำเภอหล่มสักแจ้งกลับมาว่า จำเลยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่นางอรวรรณ ลิมสวัสดิ์ ไปเมื่อวันที่23 มกราคม 2532 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้าที่โจทก์จะนำยึดในวันที่27 ตุลาคม 2532 โจทก์ได้แถลงคัดค้านไว้ด้วยว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยเพราะการยกให้กระทำโดยการฉ้อฉลขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป คดีมีปัญหาว่าที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนการยึดดังกล่าวข้างต้นซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดทรัพย์สินที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีตามที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แล้ว อันเป็นการยึดทรัพย์สินโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา283 วรรคแรก แม้ความจะปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้นางอรวรรณไปก่อนแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้การยึดทรัพย์คดีนี้ต้องเสียไป เพราะหากนางอรวรรณผู้มีชื่อใน น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทอ้างว่าตนเป็นเจ้าของเนื่องจากได้รับการยกให้จากจำเลย นางอรวรรณก็ต้องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 เมื่อนางอรวรรณมิได้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ศาลล่างดังกล่าวจะอ้างเหตุผลใดมาเพิกถอนการยึดหาได้ไม่ เพราะการมีชื่อใน น.ส.3 ก. ดังกล่าวมิได้หมายความว่านางอรวรรณเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การยึดที่ดินพิพาทคดีนี้จึงชอบแล้ว”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ถอนการยึดที่ดินพิพาท

Share