คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4918/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยให้มีผลย้อนหลังไปในวันที่คดีถึงที่สุดตามที่จำเลยร้องขอแล้ว ส่วนการที่จำเลยจะได้รับประโยชน์จากการลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2530และพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2531 หรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่จะทำการตรวจสอบ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะพิจารณาลดโทษให้จำเลย.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 ประกอบมาตรา 80 และ 278 กระทงหนึ่ง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)ประกอบมาตรา 80 อีกกระทงหนึ่งจำคุกตลอดชีวิต เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม2 กระทง จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 63 ปี 4 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 289(6) ประกอบ มาตรา 80 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) ประกอบ มาตรา 80 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกตลอดชีวิต ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามจำเลยที่ 2หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำคุก จำเลยที่ 2 มีกำหนด 37 ปี 6 เดือน
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่ 18 กันยายน 2532 ว่า คดีนี้ศาลจังหวัดนนทบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2529 แต่มิได้บังคับคดีโดยออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 2 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นเพิ่งออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2530ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายต้องเสียสิทธิไม่ได้รับการลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2530 ในฐานะนักโทษชั้นเยี่ยม1 ใน 2 และตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2531 ในฐานะนักโทษชั้นดีมาก 1 ใน 3 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ขอให้แก้ไขเปลี่ยนกำหนดโทษเสียใหม่ ให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษทั้งสองฉบับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อความปรากฏตามคำร้องฉบับลงวันที่12 ตุลาคม 2530 ของจำเลยที่ 2 ว่าศาลยังมิได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นก็ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นกรณีพิเศษโดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2529 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ตามความประสงค์ของจำเลยที่ 2 ดังที่ปรากฏในคำร้องฉบับดังกล่าว ส่วนการที่จำเลยที่ 2 จะได้รับประโยชน์คือได้รับการลดโทษจากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษพ.ศ. 2530 และ 2531 หรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษและเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่จะทำการตรวจสอบผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะพิจารณาลดโทษให้จำเลยที่ 2 เช่นเดียวกับที่จำเลยที่ 1 ได้รับการลดโทษดังที่จำเลยที่ 2 ร้องขอ จำเลยที่ 2 ชอบที่จะไปร้องให้ถูกทาง
พิพากษายืน.

Share