คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4915/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีชิงทรัพย์ถูกคุมขังอยู่ที่ห้องขังของสถานีตำรวจได้วิ่งออกมาจากห้องขังลงไปทางบันไดของสถานีตำรวจในขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ควบคุมจำเลยได้ไขกุญแจห้องขังเปิดประตูเพื่อนำจำเลยไปพิมพ์ลายนิ้วมือตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน ย่อมเป็นการหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะติดตามจับกุมจำเลยได้ภายในตัวอาคารสถานีตำรวจก็ตาม ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190 วรรคแรก ให้จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาเฉพาะข้อกฎหมาย ข้อ 4 ที่ว่าการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นการพยายามกระทำความผิดหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ต้องหาในคดีชิงทรัพย์ถูกคุมขังอยู่ที่ห้องขังของสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่าเรือ วันที่ 21 สิงหาคม 2534 เวลา 8 นาฬิกานายดาบตำรวจสิทธิ สืบกลิ่น เสมียนคดี แจ้งความประสงค์ต่อนายดาบตำรวจแก้ว แจ่มอารมย์ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่สิบเวรว่าได้รับคำสั่งจากพันตำรวจตรีสุรชัย คีรีวิเชียร พนักงานสอบสวนให้มาพิมพ์ลายนิ้วมือของจำเลย นายดาบตำรวจแก้วจึงให้สิบตำรวจตรีประหยัด ดีเสมอ ช่วยควบคุมดูแลด้วยแล้วนายดาบตำรวจแก้วไขกุญแจห้องขังเปิดประตูเพื่อใส่กุญแจมือจำเลยก่อนนำจำเลยออกจากห้องขัง แต่จำเลยวิ่งสวนทางออกมาโดยนายดาบตำรวจแก้วไม่สามารถคว้าข้อมือจำเลยได้ทัน สิบตำรวจตรีประหยัดคว้าคอเสื้อจำเลยไว้แต่จำเลยดิ้นหลุดไปได้และวิ่งหลบหนีลงไปทางบันไดของสถานีตำรวจสิบตำรวจตรีเฉลียว รุ่งระวี ซึ่งยืนอยู่ตรงที่พักบันไดประสบเหตุดังกล่าว จึงเข้าสกัดจับจำเลยไว้ได้โดยมีนายดาบตำรวจแก้วและสิบตำรวจตรีประหยัดเข้าช่วยในการจับกุมด้วย เห็นว่านายดาบตำรวจแก้วปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมจำเลยไว้ในห้องขังสถานีตำรวจดังกล่าวอันเป็นการควบคุมที่เจ้าพนักงานตำรวจจัดกำหนดขอบเขตเอาไว้ เมื่อจำเลยออกจากขอบเขตดังกล่าวโดยผู้มีอำนาจควบคุมจำเลยยังมิได้อนุญาตในลักษณะของการวิ่งหลบหนีออกมาพ้นเขตควบคุมแล้วไม่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจะติดตามจับกุมจำเลยได้หรือไม่ก็ตามการกระทำของจำเลยย่อมเป็นการหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกคุมขังของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบหนีให้พ้นออกไปจากตัวอาคารของสถานีตำรวจดังกล่าวจึงจะถือว่าการหลบหนีสำเร็จดังจำเลยกล่าวอ้าง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในปัญหานี้ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share