คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยทราบว่าผู้ตายทำร้ายภริยาและมารดาตน จำเลยก็ตามไปใช้มีดฟันผู้ตายในเวลาต่อเนื่องกับการกระทำของผู้ตายที่ได้ฟันหน้าภริยาและมารดาของจำเลย ซึ่งห่างจากบ้านจำเลย 3 วา เศษ แต่จากนั้นระหว่างทางจำเลยทั้งสองกับพวกควบคุมผู้ตายไป เพื่อส่งตำรวจกลับร่วมกันทำร้ายผู้ตายอีก โดยลากขาไปประมาณ 10 วา ตามทุ่งนา แล้วจำเลยคนหนึ่งเอาด้ามมีดกระทุ้งหน้าอกอีก 2 ที ฟันศรีษะผู้ตายอีกหนึ่งที จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการฆ่าโดยพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมาย เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในระหว่างทางนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๙ เวลากลางวันและเวลากลางคืนติดต่อกัน จำเลยในคดีนี้กับพวกที่หลบหนีอีก ๑ คน ได้บังอาจสมคบกันใช้มีดขอเป็นสาตราวุธฟันทำร้ายร่างกายนายเลี้ยง เลาเลิศ ให้ตายโดยพยายามด้วยความพยายามมาดหมายในสาเหตุที่นายเลียงได้ทำร้ายร่างกาย นางเลา วิยาสิงห์ ภริยานายนิลจำเลย และด้วยกระทำมรมนและแสดงความดุร้ายแก่นายเลียงให้ได้รับความลำยากอย่างสาหัส โดยเมื่อจำเลยกับพวกได้ใช้มีดขอฟันทำร้ายร่างกายนายเลียง เลาเลิศ แล้วนายเลียงยังไม่ตาย จำเลยกับพวกได้ช่วยกันจับขานายเลียง ลากไปตามพื้นดิน แล้วจำเลยกับพวกได้ใช้มีดขอฟันนายเลียงอีกหลายที จนนายเลียงมีบาดแผลหลายแห่งและได้รับบาดเจ็บสาหัส นายเลียงทนพิษบาดแผลที่จำเลยกับพวกทำร้ายไม่ได้ ได้ถึงแก่ความตายในเวลากระชั้นชิดกับเวลาที่ถูกทำร้ายนั้นเอง สมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เหตุเกิดที่ตำบลศรีสุข อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๒๕๐ (๓) (๔) , ๖๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยฆ่าโดยพยายามด้วยความพยาบาทมาดหมาย แต่ประมวลกฎหมายอาญามิได้บัญญัติถึง จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายตามกฎหมาย ลักษณะอาญา ม. ๒๔๙, ๖๓ ประมวลกฎหมายอาญา ม. ๒๘๘, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๒๐ ปี ตามมาตรา ๒๘๘,๘๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา คำให้การนายนิลจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ปราณีลดโทษให้ ๓ ปี คงจำคุกนายนิลจำเลยมีกำหนด ๑๗ ปี
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ฐานฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา ม. ๒๘๙ (๔) ซึ่งมีความหมายเทียบได้ตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยทำผิดฐานฆ่าคนตายตามธรรมดา (ไม่ได้พยาบาทหมาดหมาย) ขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญาอยู่ ต้องลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๒๔๙ ซึ่งแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๒๔๙ นอกจานี้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้น
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยควรมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๒๕๐ (๓) และประมวลกฎหมายอาญา ม. ๒๘๙ (๔) เพราะได้ความว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายและได้ฆ่าผู้ตายโดยเหตุที่โกรธเคือง ทั้งฆ่าโดยพยายามด้วยความพยาบาท เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติเหตุและการกระทำของจำเลยแล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยทราบว่าผู้ตายทำร้ายภริยาและมารดาของตน จำเลยก็ได้ตามไปใช้มีดฟันผู้ตายในเวลาต่อเนื่องกับการกระทำของผู้ตายที่ได้ฟันหน้าภริยาและมารดาของจำเลย ซึ่งห่างจากบ้านจำเลย ๓ วาเศษ ระหว่างทางจำเลยทั้งสองกับพวกควบคุมผู้ตายไปส่งตำรวจ แต่กลับสมคบกันทำร้ายผู้ตายอีก โดยลากขาไปประมาณ ๑๐ วา ตามทุ่งนานายสวาทจำเลยเอาด้ามมีดกระทุ้งหน้าอกอีก ๒ ที แล้วฟันศรีษะผู้ตายอีกหนึ่งทีจนผู้ตายถึงแก่ความตายทันที ดังนี้ จึงถือได้ว่าเป็นการฆ่าโดยพยายามด้วยความพยาบาทหมาดหมาย เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในระหว่างทางนั่นเอง จำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๒๕๐ (๓) และประมวลกฎหมายอาญา ม. ๒๘๙ (๔) ซึ่งมีกำหนดโทษเท่ากันคือ โทษประหารชีวิต ซึ่งพิพากษาแก้โดยพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๒๕๐ (๓) ให้วางโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง แต่พฤติการณ์ของเรื่องน่าเห็นใจจำเลยซึ่งเกิดความแค้นเพราะผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุอันไม่เป็นธรรมขึ้นก่อน และคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตาม ม. ๓๗, ๕๙ แห่งกฎหมายลักษณะอาญา คงจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ ๒๐ ปี

Share