คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีพยานเบิกความประกอบกันยืนยันว่าจำเลยที่4ขับรถยนต์กระบะติดตามรถยนต์บรรทุกกุ้งตั้งต้นจนถึงปลายทางและในชั้นสอบสวนจำเลยที่4ให้ การรับสารภาพว่าได้ ร่วมวางแผน ปล้นทรัพย์ โดยจำเลยที่4ทำหน้าที่ขับรถยนต์กระบะดูเส้นทางและรถยนต์บรรทุกกุ้งคันที่ทำการปล้นอันเป็นการ แบ่งหน้าที่กันทำจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่4ได้ ร่วมกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ ระหว่าง วันที่ 27 พฤศจิกายน 2535 เวลากลางคืน หลัง เที่ยง ถึง วันที่ 28 พฤศจิกายน 2535 เวลา กลางคืนก่อน เที่ยง จำเลย ทั้ง ห้า กับพวก อีก 2 คน ที่ ยัง ไม่ได้ ตัว มา ฟ้อง ร่วมกันมี อาวุธปืน ติดตัว และ ร่วมกัน ปล้นทรัพย์ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ จำนวน1 คัน ราคา 1,300,000 บาท กุ้ง กุลา ดำ จำนวน 7,300 กิโลกรัมราคา 1,050,000 บาท ของ นาง นิภา เชาวนชะตา ผู้เสียหาย ซึ่ง อยู่ ใน ความ ครอบครอง ดูแล ของ นาย กุศล อยู่นุ่น และ นาย อณุชา ยี่สมัน โดย ใน การ ปล้นทรัพย์ ดังกล่าว จำเลย ทั้ง ห้า กับพวก โดย มี เจตนาฆ่าและ ไตร่ตรอง ไว้ ก่อน ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน ที่ ร่วมกัน พา ติดตัว มาจ่อ ยิง นาย กุศล และ นาย อณุชา ที่ ศีรษะ และ ลำตัว หลาย นัด ใน ขณะที่ บุคคล ทั้ง สอง ถูก จำเลย ทั้ง ห้า กับพวก พัน ธนา การ ด้วย กุญแจ มือเป็นเหตุ ให้ นาย กุศล และ นาย อณุชา ถึงแก่ความตาย ทันที สม ดัง เจตนา ของ จำเลย ทั้ง ห้า กับพวก อันเป็น การกระทำ ทารุณ โหดร้าย และ เป็น การร่วมกัน ฆ่า ผู้อื่น เพื่อ เอาไว้ ซึ่ง ผลประโยชน์ อัน เกิด แต่ การ ที่ ตน ได้กระทำ ความผิด อื่น และ ปกปิด ความผิด ฐาน ปล้นทรัพย์ ที่ ตน ได้ ทำ ไว้ทั้งนี้ เพื่อ ความสะดวก แก่ การ ปล้นทรัพย์ พา ทรัพย์ นั้น ไป และ เพื่อ ให้พ้น จาก การ จับกุม และ ใน การ ปล้นทรัพย์ ดังกล่าว จำเลย ทั้ง ห้า กับพวกร่วมกัน ใช้ รถยนต์ เป็น ยานพาหนะ พา ทรัพย์ นั้น ไป และ เพื่อ ให้ พ้น จาก การจับกุม เหตุ เกิด ที่ ตำบล ปากพูนและตำบลนาเคียน อำเภอ เมือง นครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ต่อมา เจ้าพนักงาน ตำรวจจับกุม จำเลย ทั้ง ห้า ได้ และ ยึด กุญแจ มือ จำนวน 2 คู่ รถยนต์บรรทุก สิบล้อ1 คัน รถยนต์กระบะ 1 คัน สมุดเงินฝาก ธนาคาร 1 เล่ม เป็น ของกลางและ ได้ คืน รถยนต์บรรทุก สิบล้อ ของกลาง แก่ ผู้เสียหาย ไป แล้วขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 340, 340 ตรี ,83, 33 ริบ รถยนต์กระบะ และ กุญแจ มือ ของกลาง คืน สมุดเงินฝาก ธนาคารของกลาง แก่ เจ้าของ ให้ จำเลย ทั้ง ห้า ร่วมกัน ใช้ ราคา กุ้ง กุลา ดำ เป็น เงิน1,050,000 บาท แก่ ผู้เสียหาย
จำเลย ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง ห้า มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4)(5)(7), 340 วรรคท้าย ประกอบ มาตรา340 ตรี , 83 การกระทำ ของ จำเลย ทั้ง ห้า เป็น กรรมเดียว ผิด ต่อ กฎหมายหลายบท ให้ ลงโทษ ตาม มาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบ มาตรา 340 ตรีซึ่ง เป็น บทที่ มี โทษหนัก ที่สุด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ให้ วางโทษ ประหารชีวิต จำเลย ทั้ง ห้า ให้การรับสารภาพ เป็น ประโยชน์ต่อ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(2) ให้ ลงโทษ จำคุก ตลอด ชีวิตริบ รถยนต์กระบะ และ กุญแจ มือ ของกลาง คืน สมุดเงินฝาก ธนาคาร ของกลาง แก่เจ้าของ ให้ จำเลย ทั้ง ห้า ร่วมกัน ใช้ ราคา กุ้ง กุลา ดำ เป็น เงิน1,050,000 บาท แก่ ผู้เสียหาย
จำเลย ที่ 4 อุทธรณ์
โจทก์ และ จำเลย ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ต่าง ไม่ อุทธรณ์ศาลชั้นต้น ส่ง สำนวน มา ยัง ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว โจทก์ มี นาย มณีหรือณี รักษาพล ซึ่ง นั่ง ไป กับ รถยนต์กระบะ คัน สีแดง ที่ ขับ โดย จำเลย ที่ 4เบิกความ ถึง ข้อเท็จจริง ตาม ที่ โจทก์ นำสืบ มา ข้างต้น และ ยืนยัน ว่าจำเลย ที่ 4 ขับ รถยนต์กระบะ คัน สีแดง ติดตาม รถ ของ นาย กุศล ตั้งแต่ ต้น จน ถึง ปลายทาง ที่ ขาย กุ้ง ที่ อำเภอ ละงู จังหวัด สตูล นอกจาก นี้ โจทก์ ยัง มี พัน ตำรวจ ตรี เกรียงศักดิ์ เรืองอรุณ พนักงาน สอบสวน เบิกความ ประกอบ เอกสาร และ ภาพถ่าย ว่า ชั้นสอบสวน จำเลย ที่ 4ให้การรับสารภาพ ปรากฏ ตาม คำให้การ เอกสาร หมาย จ. 13 ภาพ ที่ 5, 7,19, 24 และ 25 ตาม คำให้การ ชั้นสอบสวน ของ จำเลย ที่ 4 รับ ว่า ได้ ร่วมวางแผน ปล้นทรัพย์ คดี นี้ จริง โดย จำเลย ที่ 4 ทำ หน้าที่ ขับ รถยนต์กระบะ ดู เส้นทาง และ รถยนต์บรรทุก กุ้ง คัน ที่ทำการ ปล้น อันเป็น การแบ่ง หน้าที่ กัน ทำ และ หลังจาก ขาย กุ้ง ที่ ปล้น ได้ แล้ว จำเลย ที่ 4นำ เงิน ที่ ได้ จาก การ ขาย กุ้ง เข้า ฝาก ใน บัญชี เงินฝาก ของ จำเลย ที่ 4ที่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สาขา ปัตตานี ส่วน หนึ่ง จำนวน 200,000 บาท เพื่อ รอ การ แบ่ง ต่อมา จำเลย ที่ 4 ได้ ถอนเงิน ออกจากบัญชี เงินฝาก จำนวน 170,000 บาท มอบ ให้ จำเลย ที่ 1 ไป ส่วน ที่ เหลือ30,000 บาท เป็น ส่วนแบ่ง ของ จำเลย ที่ 4 ซึ่ง นาย อำนาจ สิทธิเดช สมุห์บัญชี ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สาขา ถนนกะโรม พยานโจทก์ เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย ที่ 4 ได้ ถอนเงิน จำนวน 170,000 บาท จากบัญชี เงินฝาก ของ จำเลย ที่ 4 จาก ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สาขา ถนนกะโรม ปรากฎ ตาม สมุดคู่ฝาก เอกสาร หมาย จ. 2 ซึ่ง เจือสม กับ คำให้การ ชั้นสอบสวน ของ จำเลย ที่ 4 จึง ฟังได้ โดย ปราศจาก สงสัย ว่าจำเลย ที่ 4 ได้ ร่วม กระทำ ความผิด ดัง ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง ได้ วินิจฉัย มาที่ จำเลย ที่ 4 อ้าง มา ใน ฎีกา ว่า จำเลย ที่ 4 ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจทำร้าย มา ตลอด ทำนอง ว่า ถูก บังคับ ให้ รับสารภาพ ชั้นสอบสวน เห็นว่าหาก เป็น ดัง จำเลย ที่ 4 อ้าง จำเลย ที่ 4 คง จะ ให้การ ปฏิเสธ ใน ชั้น ศาลแล้ว แต่ ปรากฏว่า จำเลย ที่ 4 คง ให้การรับสารภาพ ใน ชั้น ศาล ด้วยและ ไม่ติดใจ สืบพยาน จำเลย ที่ 4 ไม่มี เหตุ ระแวง ว่า เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ทำร้าย และ บังคับ ให้ จำเลย ที่ 4 รับสารภาพ ใน ชั้นสอบสวน ฎีกา ของจำเลย ที่ 4 ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share