คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 175นอกจากจะต้องเอาข้อความเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาแล้ว ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตาม ป.อ.มาตรา 59 ด้วย เมื่อปรากฏว่าหนังสือตามเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์ทำและนำไปปิดประกาศที่หน้าบ้านโจทก์ซึ่งบุคคลอื่นที่ผ่านไปมาสามารถพบเห็นได้โดยง่ายมีข้อความว่า ป.ผู้เช่าบ้านของ ก.ภริยาโจทก์ซึ่งถูกฟ้องขับไล่ทนต่อความละอายไม่ได้ ได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จำเลยกับมารดาและน้อง ๆ ของจำเลยบริวารของ ป.ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่า และจำเลยได้นำป้ายชื่อและอาชีพของตนไปติดไว้ที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่าเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสารว่า แม้ผู้เช่าบ้านได้ยอมออกจากบ้านไปแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบริวารยังดื้อดึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้เช่า ทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพของจำเลยไปติดไว้แสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่า เป็นการกระทำที่น่าจะทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังและตามหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ก็เป็นหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยโดยตรงข้อความที่ว่า ป.ผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วนั้น ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่า ป.ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าบ้านอีกต่อไป ผู้ที่ตัองรับผิดชำระค่าเช่าบ้านคือผู้ที่อยู่ในบ้านเช่า ซึ่งก็หมายถึงตัวจำเลยนั่นเอง ทั้งจำเลยได้แนบเอกสารหมาย ล.1 เป็นเอกสารท้ายฟ้องของคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นฟ้องเท็จด้วย จำเลยจึงมิได้บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดีไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๕ ลงโทษจำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการฟ้องคดีนี้เริ่มต้นมาจากนางกฤษณาภริยาโจทก์ได้ฟ้องขับไล่นายปรีชาบิดาเลี้ยงของจำเลย และบริวารให้ออกจากบ้านเช่า จำเลยได้เข้าเป็นทนายความเข้าแก้ต่างแทนให้แก่นายปรีชาระหว่างการพิจารณาคดีนางกฤษณาถึงแก่กรรม โจทก์ได้เข้าเป็นคู่ความแทนที่นางกฤษณา โจทก์ได้ทำหนังสือและได้นำไปปิดประกาศไว้ที่หน้าบ้านของโจทก์หนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า “ตามที่นางกฤษณาได้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายปรีชาและบริวารให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเช่า ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔จนถึงวันนี้เป็นเวลา ๒๕๓ วันแล้ว ศาลยังมิได้ทำการไต่สวนคดี เพราะการประวิงเวลาของนายศิริพงษ์ บุญชู ทนายจำเลย โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา จนนายปรีชาก็ทนต่อความละอายไม่ได้ จึงได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น และทิ้งให้บริวารอันมีนายศิริพงษ์กับแม่และน้อง ๆ ของตัวเองรวม ๕ ชีวิต ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่า และตัวทนายเองได้ทำป้ายชื่อและอาชีพของตนเองมาติดไว้ที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาการครอบครองบ้านหลังพิพาทนี้” จำเลยจึงได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาตามความผิดฐานหมิ่นประมาทต่อศาลชั้นต้น โดยกล่าวหาว่าข้อความในหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๑ เป็นการหมิ่นประมาทจำเลยโดยใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร เห็นว่าที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕ นั้น นอกจากจะต้องเอาข้อความเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาแล้ว ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ ด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๑ ที่โจทก์ทำและนำไปปิดประกาศที่หน้าบ้านโจทก์ซึ่งบุคคลอื่นที่ผ่านไปสามารถพบเห็นได้โดยง่ายมีข้อความว่า นายปรีชาผู้เช่าบ้านของนางกฤษณาภริยาโจทก์ซึ่งถูกฟ้องขับไล่ทนต่อความละอายไม่ได้ ได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จำเลยกับมารดาและน้อง ๆ ของจำเลยบริวารของนายปรีชายังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าและจำเลยได้นำป้ายชื่อและอาชีพของตนไปติดไว้ที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่าเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่า โจทก์ใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสารว่า แม้ผู้เช่าบ้านได้ยอมออกจากบ้านไปแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบริวารยังดื้อดึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้เช่า ทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพของจำเลยไปติดไว้แสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่า เป็นการกระทำที่น่าจะทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๑ หมายถึงนายปรีชาไม่จ่ายค่าเช่าไม่ได้มีความหมายว่าจำเลยไม่จ่ายค่าเช่า แต่จำเลยบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยคัดเอาข้อความบางตอนมาต่อกันจนอ่านแล้วมีความหมายว่าเป็นการว่าจำเลยนั้น เห็นว่า ตามหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๑ นั้น เป็นหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยโดยตรง ข้อความที่ว่านายปรีชาผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วนั้น ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่านายปรีชาไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าบ้านอีกต่อไปผู้ที่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าบ้านคือผู้ที่อยู่ในบ้านเช่า ซึ่งก็หมายถึงตัวจำเลยนั่นเองทั้งจำเลยก็ได้แนบเอกสารหมาย ล.๑ เป็นเอกสารท้ายฟ้องของคดีอาญา หมายเลขแดงที่ ๑๙๕๒/๒๕๓๕ของศาลชั้นต้นด้วย จำเลยจึงมิได้บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริงดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด คดีไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕
พิพากษายืน.

Share