แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะและนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเอง ครั้งคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลาก และทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฎว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาทแม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ลำบางภูเก็ตเป็นทางน้ำสาธารณะ อยู่ที่หมู่ที่ 2ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก อำเภอปางพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชโจทก์และราษฎรใช้เป็นทางสัญจรเพื่อทำการประมงและตัดต้นจากมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อเดือนกันยากัน 2531 จำเลยที่ 1 ได้จ้างจำเลยที่ 2 ถมดินปักเสาไม้และคอนกรีตทำเป็นคันปิดกั้นลำบางภูเก็ตทางด้านทิศใต้ติดแม่น้ำปากพนัง 2 แห่ง และเมื่อวันที่ 29 เมษายน2533 จำเลยที่ 1 นำรถแทรกเตอร์ขุดเป็นคันดินกั้นลำบางภูเก็ตทางด้านทิศเหนืออีก 1 แห่ง ทำให้โจทก์และราษฎรใกล้เคียงไม่สามารถใช้ลำบางภูเก็ตสัญจรไปมาทำประมงได้ตามปกติ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนคันดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งกั้นลำบางภูเก็ตออกไป ห้ามปิดกั้นอีกหากจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนด้วยตนเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ลำบางภูเก็ตเคยเป็นแต่เส้นทางเล็ก ๆเป็นทางลัดอยู่ในที่ดินจำเลยที่ 1 ซึ่งเดิมไม่ได้เป็นลำบาง ต่อมาคนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ใช้เป็นเส้นทางลัดออกไปจากที่ดินและใช้เฉพาะในกลุ่มผู้อยู่อาศัยในที่ดินจำเลยที่ 1 ที่เคยใช้เป็นเส้นทางออกไปสู่แม่น้ำปากพนัง เมื่อประมาณ 10 กว่าปีลำบางตื้นเขิน จนกระทั่งหมดสภาพไม่สามารถใช้ลำบางได้ลำบางดังกล่าวอยู่ในที่ดินจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยจ้างวานจำเลยที่ 2 กั้นลำบางทางทิศใต้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ลำบางที่โจทก์อ้างเป็นเพียงทางน้ำเล็ก ๆ ไม่มีสภาพเป็นลำบางมากว่า 10 ปี และก่อนหน้านั้นก็ไม่มีประชาชนใช้สัญจรไปมา เมื่อถึงหน้ามรสุมน้ำท่วมประมาณ 2 เดือนจึงมีผู้พายเรือเข้าไปได้แต่หลังน้ำลดไม่มีสภาพเป็นลำน้ำ จำเลยที่ 2เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 เฉพาะด้านทิศเหนือจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำคันดิน ทางด้านใต้เป็นบ่อเลี้ยงกุ้งที่จำเลยที่ 2 ทำขึ้นโดยไม่มีรั้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครองผู้ดูแลที่จะจัดการให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปเอง และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืนตามผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นลำบางพิพาทออกไปหรือไม่นี้ ในศาลชั้นต้นจำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบต่อสู้ไว้ เพียงแต่ต่อสู้ว่าลำบางพิพาทไม่ใช่ลำบางสาธารณะเท่านั้น ปัญหานี้จึงยุติไปแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3ยกขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองนำสืบทำนองเดียวกันว่าลำบางพิพาทไม่ใช่ลำบางสาธารณะเพราะเดิมเป็นทางน้ำอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งนายอินทร์ผู้เช่าที่ดินได้ขุดขึ้นเพื่อทำเป็นทางน้ำลัดผ่านไปออกแม่น้ำปากพนังและใช้เป็นทางน้ำผ่านเฉพาะเดือนสิบเอ็ดและเดือนสิบสองเท่านั้น หลังจากนายอินทร์เลิกเช่าแล้วจำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 เช่าต่อทำเป็นที่เลี้ยงปู ในที่สุดทางน้ำตื้นเขิน จำเลยที่ 2จึงได้ทำเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งและทำคันดินกั้น การนำสืบดังกล่าวเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการกระทำต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั่นเอง ครั้นคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะ ฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวมเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของตัวโจทก์เองว่า โจทก์มีอาชีพค้าขายไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลาก และทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516ต่อมาปรากฎว่าลำบางตื้นเขิน เนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทางโจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย ฉะนั้นที่โจทก์เบิกความเพียงแต่ว่าโจทก์เคยใช้และมีความประสงค์ที่จะใช้ลำบางพิพาทอีกต่อไปเท่านั้นการที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาท แม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
พิพากษายืน