คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ คดีสำคัญ
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 160 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
++
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นบทบัญญัติที่ต้องการเอาโทษแก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ แต่กลับปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตอนหนึ่ง และเอาโทษแก่เจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกตอนหนึ่ง ในตอนแรก คำว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น หมายความรวมถึง เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดด้วย ดังนั้นหากการปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยมิชอบเป็นการกระทำต่อเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง และเป็นการกระทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหาย เอกชนผู้นั้นย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ได้
คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 3 มาในคำฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 นอกจากจะเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการแล้ว ยังเป็นตำแหน่งทางฝ่ายบริหารมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้ด้วย ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่าตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการเพียงอย่างเดียว ฉะนั้น การแต่งตั้งโจทก์จากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นการปูนบำเหน็จความดีความชอบให้แก่โจทก์เป็นการขัดกับการที่โจทก์ยังมีโทษงดบำเหน็จอยู่ การที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการหาข้อยุติความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับมติ ก.ต. ที่เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ในทางบริหารราชการแผ่นดิน และที่สำคัญยิ่งก็คือการจะนำเรื่องใดเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งนั้นเรื่องนั้นจะต้องมีข้อยุติว่าเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว การที่จำเลยที่ 2 พยายามหาข้อยุติความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับมติ ก.ต. ที่แต่งตั้งโจทก์และยังไม่อาจนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น หาใช่จำเลยที่ 2 มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์เสียหายอย่างใดไม่ จำเลยที่ 2จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาและเป็นประธาน ก.ต. โดยตำแหน่ง ในการประชุม ก.ต. ประธาน ก.ต.เป็นประธานที่ประชุม โดยทั่วไปแล้วในการประชุม ประธานที่ประชุมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการประชุมและรับผิดชอบดำเนินการประชุมให้เป็นไปด้วย ความเรียบร้อยและเป็นผลดีแก่ทางราชการ หากไม่มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น กรณีมีเหตุจำเป็นและสมควรประธานที่ประชุมจะสั่งเลื่อนหรือปิดประชุมก็ย่อมทำได้
ได้ความว่า ในตอนเช้าจำเลยที่ 4มีคำสั่งให้ดำเนินการประชุม ก.ต. ไป ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ จนกระทั่งถึงวาระการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการจำเลยที่ 3 แถลงขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระนี้ไปก่อน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่ามีเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่อีกและเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ส่วนจำเลยที่ 4 ก็ได้พยายามชี้แจงและขอร้องให้ที่ประชุมเลื่อนวาระดังกล่าวออกไป โดยแจ้งว่าการเลื่อนออกไปจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่ในที่สุดส่วนใหญ่ของที่ประชุมเห็นว่าไม่สมควรให้มีการเลื่อน จำเลยที่ 4 จึงอาศัยอำนาจของประธาน ที่ประชุมสั่งให้เลื่อนและปิดประชุมทั้งนี้โดยมีมูลเหตุมาจากการขอร้องของพลเอก ส. นายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้เกิดผลดีต่อบ้านเมืองในทุก ๆ ด้าน ตามรัฐประศาสโนบายโดยเฉพาะ เป็นผู้มีหน้าที่นำมติ ก.ต. ที่เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เมื่อพลเอก ส. เห็นว่าโจทก์ยังมีโทษทางวินัยอยู่และการแต่งตั้งโจทก์เป็นการขัดต่อพระราชกระแสเช่นนี้ การที่จำเลยที่ 4 ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนโดยแจ้งว่าการเลื่อนจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 4 ได้พิจารณาถึงเหตุผลและความเหมาะสมในหลาย ๆ ด้านแล้ว จึงได้สั่งให้เลื่อนและปิดประชุม หากจำเลยที่ 4 มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยที่ 4 จะไม่นำเรื่องการแต่งตั้งโจทก์บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมก็ย่อมได้ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 4 ก็รู้อยู่ว่าโจทก์มีโทษทางวินัยอยู่ การที่ภายหลังต่อมามีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนการประชุมดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 4 สั่งเลื่อนและปิดประชุมโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารและมีหน้าที่ดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งข้าราชการตุลาการตามกฎหมายและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่บริหารงานกระทรวงยุติธรรมและเป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการพ.ศ. ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมและเป็นกรรมการตุลาการ (ก.ต.) โดยตำแหน่ง จำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาและเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการโดยตำแหน่งจำเลยทั้งสี่จึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕คณะกรรมการตุลาการได้ประชุมและมีมติแต่งตั้งโจทก์จากตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑แม้จะอยู่ในชั้นเดียวกัน แต่เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ในทางบริหารถือว่ามีเกียรติ และศักดิ์ศรีสูงกว่าตำแหน่งเดิมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้กราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งโจทก์เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แล้ว แต่ขณะที่เรื่องดังกล่าวอยู่ที่สำนักราชเลขาธิการได้มีการเปลี่ยนรัฐบาลโดยมีจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมระหว่างวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕เวลากลางวันติดต่อกัน จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายทราบดีว่า โจทก์จะครบเกษียณอายุราชการ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕เจตนากลั่นแกล้งโจทก์มิให้ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ก่อนครบเกษียณอายุราชการได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๓๕เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ เวลากลางวัน วันใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ ๑ ซึ่งมีหน้าที่จะต้องดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งโจทก์และข้าราชการอื่น ๆ ตามมติคณะกรรมการตุลาการเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ กลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้โจทก์และข้าราชการอื่น ๆ ได้รับความเสียหายโดยจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอรับเรื่องการแต่งตั้งโจทก์คืนจากสำนักราชเลขาธิการ แล้วจำเลยที่ ๑ สั่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรมลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ ขอให้จำเลยที่ ๒ พิจารณาอีกครั้ง โดยจำเลยที่ ๑ รู้ว่าไม่มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ ระหว่างวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เวลากลางวัน ถึงวันที่๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ทราบดีว่า มติของคณะกรรมการตุลาการที่ประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม๒๕๓๕ เป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมายและถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และร่วมกันทำหนังสือลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม๒๕๓๕ ถึงจำเลยที่ ๔ ให้พิจารณาเรื่องการแต่งตั้งโจทก์อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับการกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวข้างต้น ต่อมาระหว่างวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕เวลากลางวันถึงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลากลางวันติดต่อกัน จำเลยที่ ๔มีหน้าที่ต้องแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบว่า มติของคณะกรรมการตุลาการเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นมติซึ่งถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยที่ ๔กลับเก็บเรื่องไว้ประมาณ ๑ เดือน จึงทำหนังสือลงวันที่ ๔ สิงหาคม๒๕๓๕ แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบว่า จำเลยที่ ๔ จะไม่นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการตุลาการเพราะการประชุมในวันที่ ๑๑พฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นการประชุมที่ไม่ชอบเนื่องจากจำเลยที่ ๔สั่งปิดประชุมแล้วระหว่างวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลากลางวัน ถึงวันที่๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีหน้าที่จะต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งโจทก์แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒โดยความร่วมมือของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ กลับเพิกเฉย ไม่ดำเนินการจนโจทก์เกษียณอายุราชการ การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อมิให้โจทก์ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จนโจทก์เกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน๒๕๓๕ เหตุเกิดที่แขวงจิตรลดา เขตดุสิต และแขวงพระบรมมหาราชวังเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๒ ปีเนื่องจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ เคยรับราชการในตำแหน่งสำคัญชั้นบริหารระดับสูงมาเป็นเวลานานด้วยดี จึงเห็นสมควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ สำหรับจำเลยที่ ๑ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ข้อแรกว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ เอกชนเป็นผู้เสียหายได้หรือไม่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” เห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ต้องการเอาโทษแก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ แต่กลับปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตอนหนึ่งและเอาโทษแก่เจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกตอนหนึ่ง สำหรับในตอนแรกคำว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น หมายความรวมถึง เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดด้วย ดังนั้น หากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยมิชอบเป็นการกระทำต่อเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรงและเป็นการกระทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหาย เอกชนผู้นั้นย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒(๔) ได้ ด้วยเหตุนี้ที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกาว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ โจทก์ในฐานะเอกชนไม่อาจเป็นผู้เสียหายได้ จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อที่ ๒ มีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ ๓และที่ ๔ ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ปัญหาข้อนี้เห็นควรแยกวินิจฉัยคำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ก่อน คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๓ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น หน้าที่ของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นองค์ประกอบความผิดที่โจทก์ต้องบรรยายมาในคำฟ้องให้เห็นหรือเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่อย่างไรและจำเลยที่ ๓ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบอย่างไร เพราะหากจำเลยที่ ๓ ไม่มีหน้าที่หรือกระทำนอกเหนือหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ ๓ ก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ตอนแรกโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรมและเป็นกรรมการตุลาการโดยตำแหน่งจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่อจากนั้น โจทก์กล่าวว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิได้กล่าวว่าหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มีอย่างไรอีก และในตอนสุดท้ายโจทก์กล่าวลอย ๆว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยความร่วมมือของจำเลยที่ ๓ และที่ ๔เพิกเฉยไม่ดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งโจทก์เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑จนกระทั่งโจทก์เกษียณอายุราชการ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ว่าโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่อย่างไร จำเลยที่ ๓ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นอย่างไร และเป็นการกระทำที่อยู่ในขอบอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ หรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มาในคำฟ้องคำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕) เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ปัญหาต่อไปมีว่า คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๔ เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๔ นี้ นอกจากโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยที่ ๔ เป็นประธานศาลฎีกาและเป็นประธานคณะกรรมการตุลาการโดยตำแหน่งจึงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้วโจทก์ยังได้บรรยายต่อไปว่าจำเลยที่ ๔ มีหน้าที่ต้องแจ้งมติของที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการไปยังจำเลยที่ ๒ ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งโจทก์เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑แต่จำเลยที่ ๔ เพิกเฉยไม่ดำเนินการจนกระทั่งโจทก์เกษียณอายุราชการการกระทำของจำเลยที่ ๔ จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ มาพอที่จะเข้าใจได้แล้วว่า จำเลยที่ ๔ มีหน้าที่อย่างไรและจำเลยที่ ๔ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๔ จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๘(๕) ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ปัญหาข้อที่ ๓ มีว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้เห็นควรวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ ๒ ก่อน เห็นว่าจำเลยที่ ๒ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ และเข้ารับมอบงานเมื่อวันที่ ๑๖เดือนเดียวกัน จากคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ได้ความว่า ในขณะที่จำเลยที่ ๒ เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมนั้นนายสวัสดิ์ คำประกอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนก่อนได้นำมติ ก.ต. เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อนำความกราบบังคมทูลทรงแต่งตั้งโจทก์ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑แล้ว เมื่อจำเลยที่ ๒ เข้ามาดำรงตำแหน่งก็ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ ๑ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาเรื่องที่นายนาม ยิ้มแย้มกับพวกทูลเกล้าถวายฎีกาขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการตามมติ ก.ต. เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ นายนามกับพวกอ้างว่ามติ ก.ต.ดังกล่าวไม่ชอบเพราะเป็นมติที่เกิดจากการประชุมหลังจากประธาน ก.ต.ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมได้สั่งปิดประชุมแล้ว และมีบุคคลบางคนที่ได้รับแต่งตั้งยังมีโทษทางวินัยอยู่ เท่ากับเป็นการให้บำเหน็จความดีความชอบแก่บุคคลดังกล่าวเป็นการทวนพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระกรุณาลดโทษให้จากโทษ “ให้ออก” มาเป็นโทษ “งดบำเหน็จ” นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ยังได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายศรีศักดิ์ อินทรกำแหงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ใจความว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตุลาการตามมติ ก.ต. วันที่ ๑๑ พฤษภาคม๒๕๓๕ เป็นการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรม ประกอบกับจำเลยที่ ๒ ได้รับบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริงตามเอกสารหมาย ล.๖๑ จากจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นว่าการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการตามมติดังกล่าวน่าจะไม่ชอบ ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับหนังสือของนายนามกับพวกและหลังจากนั้น จำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือจากเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ ตามเอกสารหมาย ล.๖๓ ส่งเรื่องการแต่งตั้งโจทก์กับพวกคืนมาเนื่องจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงส่งเรื่องมาให้พิจารณาอีกครั้งเมื่อจำเลยที่ ๒ ได้รับเรื่องดังกล่าวจำเลยที่ ๒ ก็ส่งเรื่องให้จำเลยที่ ๓พิจารณาให้ความเห็นซึ่งจำเลยที่ ๓ ได้ส่งเรื่องไปยังเลขาธิการส่งเสริมงานตุลาการเพื่อพิจารณา เลขาธิการส่งเสริมงานตุลาการพิจารณาแล้วได้ทำความเห็นเสนอไปยังจำเลยที่ ๓ โดยผ่านนายจรัญ หัตถกรรมรองปลัดกระทรวงยุติธรรมฝ่ายวิชาการว่า ควรยืนยันให้จำเลยที่ ๒นำมติ ก.ต. ที่กล่าวแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งโจทก์กับพวกต่อไป แต่นายจรัญมีความเห็นว่า มติ ก.ต.ดังกล่าวดำเนินไปภายหลังประธาน ก.ต. ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมสั่งปิดประชุมแล้ว และการแต่งตั้งบุคคลบางตำแหน่งมีปัญหาเกี่ยวกับกรณีถูกลงโทษทางวินัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสลดโทษให้ รวมทั้งการแจ้งมติ ก.ต. ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อให้ดำเนินการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งก็ไม่ได้แจ้งโดยประธาน ก.ต. ตามกฎหมาย แต่แจ้งโดยประธานที่ประชุมชั่วคราวเมื่อจำเลยที่ ๓ ได้รับหนังสือจากนายจรัญจำเลยที่ ๓ ก็มีความเห็นพ้องกับนายจรัญ และยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตุลาการเกินกว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอน่าจะไม่ชอบตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อปลัดกระทรวงยุติธรรมและเลขาธิการส่งเสริมงานตุลาการมีความเห็นขัดแย้งกันเช่นนี้ จำเลยที่ ๒ก็ไม่อาจหาข้อยุติได้ และเห็นว่าคณะกรรมการตุลาการน่าจะหาทางออกเรื่องนี้ได้ จำเลยที่ ๒ จึงทำหนังสือลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕เอกสารหมาย จ.๑๖ ถึงประธาน ก.ต. ให้นำเรื่องนี้เสนอที่ประชุม ก.ต.เพื่อพิจารณา ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นประธาน ก.ต. ได้มีหนังสือลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ เอกสารหมาย ล.๖๗ แจ้งว่า มติ ก.ต. เมื่อวันที่๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นมติที่เกิดขึ้นภายหลังประธาน ก.ต. ซึ่งเป็นประธานที่ประชุมสั่งปิดประชุมแล้ว จึงเป็นมติที่ไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นมติที่ ก.ต. เสนอและให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนั้น จึงไม่อาจนำเสนอให้ ก.ต. พิจารณาอีกได้ เมื่อข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการแต่งตั้งโจทก์ยังหาข้อยุติไม่ได้ และจำเป็นต้องหาข้อยุติให้ได้ก่อน จำเลยที่ ๒จึงมีหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบและแจ้งด้วยว่ายังไม่สมควรดำเนินการเพื่อทรงแต่งตั้งตามมติ ก.ต. ดังกล่าว เกี่ยวกับปัญหามติ ก.ต. แต่งตั้งโจทก์ชอบหรือไม่นั้น นอกจากนายจรัญ กับจำเลยที่ ๓และจำเลยที่ ๔ จะมีความเห็นว่าเป็นมติที่ไม่ชอบแล้ว จำเลยที่ ๒ เองก็ยังมีความเห็นว่าโจทก์ยังถูกลงโทษงดบำเหน็จอยู่ ปรากฏตามเอกสารหมายล.๗๒ ซึ่งความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของหม่อมหลวงทวีสันต์ลดาวัลย์ รองเลขาธิการในขณะนั้น และความเห็นของนายวิษณุ เครืองามเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพยานโจทก์ที่เบิกความว่าหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแส ลดโทษให้แก่โจทก์จากโทษ “ให้ออก” มาเป็นโทษ “งดบำเหน็จ” แล้วต้องถือว่าโจทก์ยังมีโทษอยู่คือโทษ “งดบำเหน็จ” จะเห็นได้ว่า ที่จำเลยที่ ๒ ยังไม่อาจยืนยันให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมติ ก.ต. ที่แต่งตั้งโจทก์ก็เนื่องมาจากโจทก์มีโทษทางวินัยอยู่นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีปัญหาว่าการแต่งตั้งโจทก์ตามมติ ก.ต. วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นการปูนบำเหน็จความชอบหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ทั้งโจทก์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ต่างนำสืบรับในทำนองเดียวกันว่า ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑นอกจากจะเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการแล้วยังเป็นตำแหน่งทางฝ่ายบริหารมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้ด้วยถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ และศักดิ์ศรีสูงกว่าตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้การแต่งตั้งโจทก์จากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงเป็นการปูนบำเหน็จความดีความชอบให้แก่โจทก์เป็นการขัดกับการที่โจทก์ยังมีโทษงดบำเหน็จอยู่ การที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการหาข้อยุติความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับมติ ก.ต. ที่เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ดังกล่าวแล้วจึงเห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ในทางบริหารราชการแผ่นดิน และที่สำคัญยิ่งก็คือการจะนำเรื่องใดเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งนั้นเรื่องนั้นจะต้องมีข้อยุติว่าเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว ประกอบกับจำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นระยะเวลาเพียง ๓ เดือนเศษก่อนที่โจทก์จะเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นระยะเวลาอันสั้นเมื่อมติ ก.ต. แต่งตั้งโจทก์ มีปัญหาซับซ้อนซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็พยายามหาข้อยุติแต่ยังไม่สามารถจะทำได้เช่นนี้ จะฟังว่าจำเลยที่ ๒ มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ยังมิได้ทั้งจะเห็นได้ว่าในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ อันเป็นวันที่โจทก์เกษียณอายุราชการนั้น ที่ประชุม ก.ต. ก็ยังมีมติให้งดบำเหน็จไม่ขึ้นเงินเดือนให้แก่โจทก์ โดยเห็นว่าโจทก์ยังมีโทษงดบำเหน็จอยู่เป็นการสอดคล้องกับความเห็นของจำเลยที่ ๒ ส่วนกรณีที่จำเลยที่ ๒มีหนังสือยืนยันไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้นำมติ ก.ต.ที่แต่งตั้งนายสุประดิษฐ์ หุตะสิงห์ จากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ไปเป็นเลขาธิการส่งเสริมงานตุลาการ ซึ่ง ก.ต. มีมติในคราวเดียวกันกับการแต่งตั้งโจทก์นั้น จำเลยที่ ๒ เบิกความว่าเป็นการยืนยันเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนก่อน ที่มีคำสั่งให้โอนนายสุประดิษฐ์ไปเป็นข้าราชการธุรการ ตำแหน่งเลขาธิการส่งเสริมงานตุลาการ และนายสุประดิษฐ์ก็ได้ไปรับมอบงานและปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ ก่อนที่จำเลยที่ ๒จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว และนายสุประดิษฐ์ก็มิได้มีโทษทางวินัยแต่อย่างใด ประกอบกับจำเลยที่ ๒ เห็นว่า เพื่อให้เกิดความสมัครสมาน สามัคคีในวงการตุลาการ สิ่งใดที่จำเลยที่ ๒สามารถจะปฏิบัติได้ จำเลยที่ ๒ ก็จะกระทำ จึงเห็นว่าระหว่างระยะเวลาที่จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จำเลยที่ ๒ได้พยายามปฏิบัติหน้าที่ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้เกิดผลดีแก่ทางราชการโดยยึดถือกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการเพื่อให้เกิดความถูกต้องเป็นที่ตั้ง การที่จำเลยที่ ๒ พยายามหาข้อยุติความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับมติ ก.ต. ที่แต่งตั้งโจทก์และยังไม่อาจนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น หาใช่จำเลยที่ ๒ มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์เสียหายอย่างใดไม่ จำเลยที่ ๒จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
ปัญหาต่อไปจะได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๔ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๔ ทราบแล้วว่ามติ ก.ต. เมื่อวันที่๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ก.ต. ไม่อาจพิจารณาได้อีกแล้วเพราะพ้นระยะเวลาตามกฎหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะโต้แย้งหรือให้ทบทวนใหม่ได้ เมื่อจำเลยที่ ๒ มีหนังสือถึงจำเลยที่ ๔ ให้นำมติดังกล่าวเข้าที่ประชุม ก.ต. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง จำเลยที่ ๔ไม่รีบแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบ กลับเก็บเรื่องไว้เกือบ ๑ เดือนจึงทำหนังสือลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบว่าจำเลยที่ ๔ ไม่อาจนำมติดังกล่าวเข้าที่ประชุม ก.ต. อีกได้ เนื่องจากการประชุม ก.ต. และมีมติดังกล่าวเป็นการประชุมที่ไม่ชอบเพราะจำเลยที่ ๔ สั่งปิดประชุมแล้ว ซึ่งไม่ถูกต้องเนื่องจากไม่มีข้อบังคับใด ๆ ในการประชุมเปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ตามข้อกล่าวหาของโจทก์ดังกล่าว มีปัญหาที่ควรวินิจฉัยก่อนว่าการที่จำเลยที่ ๔ มีคำสั่งปิดประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕มีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จำเลยที่ ๔ จะทำได้หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาและเป็นประธาน ก.ต.โดยตำแหน่งในการประชุม ก.ต. ประธาน ก.ต. เป็นประธานที่ประชุมโดยทั่วไปแล้ว ในการประชุมประธานที่ประชุมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการประชุมและรับผิดชอบดำเนินการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นผลดีแก่ทางราชการ หากไม่มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นกรณีมีเหตุจำเป็นและสมควรประธานที่ประชุมจะสั่งเลื่อนหรือปิดประชุมก็ย่อมทำได้หากประธานที่ประชุมได้กระทำการดังกล่าวโดยมิชอบอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ประธานที่ประชุมจะต้องรับผิดชอบ ปัญหาจึงมีว่าการที่จำเลยที่ ๔ สั่งเลื่อนและปิดประชุม ก.ต. ในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๔มีความจำเป็นและเหตุผลเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่ จากคำเบิกความของพลเอกสุจินดา คราประยูร พยานจำเลยที่ ๔ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ความว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม๒๕๓๕ พลเอกสุจินดาได้ทราบจากองคมนตรีท่านหนึ่งว่า ในวันจันทร์ที่๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ก.ต. จะมีการประชุมแต่งตั้งข้าราชการตุลาการซึ่งมีโจทก์รวมอยู่ด้วย และโจทก์มีโทษทางวินัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแส ลดโทษให้ หากแต่งตั้งไปแล้วจะเป็นการทวนพระราชกระแส และจะเป็นการกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ประกอบกับการแต่งตั้งดังกล่าวมิใช่เรื่องเร่งด่วน พลเอกสุจินดาจึงพยายามติดต่อจำเลยที่ ๔ ทาง โทรศัพท์เพื่อให้เลื่อนหรือระงับเรื่องไว้ก่อนจากคำเบิกความของจำเลยที่ ๔ ได้ความว่าขณะที่พลเอกสุจินดาโทรศัพท์มาหานั้นจำเลยที่ ๔ ไม่อยู่ที่บ้านพลเอกสุจินดาได้ฝากข้อความไว้เมื่อจำเลยที่ ๔ โทรศัพท์ไปหาก็ทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นที่พลเอกสุจินดาขอให้ถอนระเบียบวาระการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการออกไปก่อน จำเลยที่ ๔ แจ้งว่าอำนาจในการถอนเรื่องคืนไปเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกสุจินดาจึงรับจะไปติดต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมด้วยตนเอง ในตอนเช้าวันประชุม จำเลยที่ ๔ได้รับแจ้งทาง โทรศัพท์จากพลเอกสุจินดาว่าได้แจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบแล้ว จากคำเบิกความของจำเลยที่ ๓ ได้ความว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๓ ได้รับหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๘๐ จากพลเอกสุจินดาแจ้งว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายให้แต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งข้าราชการในระดับสูง ในทุกกระทรวงทบวง กรม จำเลยที่ ๓ จึงติดต่อนายสวัสดิ์ คำประกอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อปรึกษากันแล้ว นายสวัสดิ์สั่งให้จำเลยที่ ๓รอปรึกษาในตอนเช้าวันประชุมอีกครั้ง ครั้งถึงวันจันทร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม๒๕๓๕ อันเป็นวันประชุมตอนเช้า นายสวัสดิ์ ไม่ไปทำงานตามที่นัดหมายไว้จำเลยที่ ๔ จึงมีคำสั่งให้ดำเนินการประชุม ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆจนกระทั่งถึงวาระการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการ จำเลยที่ ๓ แถลงขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระนี้ไปก่อน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่ามีเรื่องที่จะต้องปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่อีก และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งหากพิจารณาแต่งตั้งไปแล้วจะกระทบกระเทือนต่อสถาบันชั้นสูงของชาติ ส่วนจำเลยที่ ๔ ก็ได้พยายามชี้แจงและขอร้องให้ที่ประชุมเลื่อนวาระดังกล่าวออกไป โดยแจ้งว่าการเลื่อนออกไปจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่ในที่สุดส่วนใหญ่ของที่ประชุมเห็นว่าไม่สมควรให้มีการเลื่อนจำเลยที่ ๔ จึงอาศัยอำนาจของประธานที่ประชุมสั่งให้เลื่อนและปิดประชุม เมื่อพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นที่จำเลยที่ ๔สั่งปิดประชุมแล้วเห็นว่ามีมูลเหตุมาจากการขอร้องของพลเอกสุจินดาคราประยูร นายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ เพื่อให้เกิดผลดีต่อบ้านเมืองในทุก ๆ ด้านตามรัฐประศาสโนบาย โดยเฉพาะเป็นผู้มีหน้าที่นำมติ ก.ต. ที่เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เมื่อพลเอกสุจินดา เห็นว่าโจทก์ยังมีโทษทางวินัยอยู่ และการแต่งตั้งโจทก์เป็นการขัดต่อพระราชกระแส การที่พลเอกสุจินดาขอให้จำเลยที่ ๔ ถอนเรื่องการแต่งตั้งโจทก์ออกไปก่อน จึงนับว่าชอบด้วยเหตุผลที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองจะพึงปฏิบัติ พลเอกสุจินดาเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการแต่งตั้งโจทก์ เชื่อได้ว่าเป็นคนกลางมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๔ เป็นประธานศาลฎีกาและเป็นประธาน ก.ต. ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์โดยตรงเมื่อมีข้อทักท้วงว่าการแต่งตั้งโจทก์จะกระทำได้โดยชอบและเหมาะสมหรือไม่เช่นนี้ การที่จำเลยที่ ๔ ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน โดยแจ้งว่าการเลื่อนจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๔ ได้พิจารณาถึงเหตุผลและความเหมาะสมในหลาย ๆ ด้านแล้วจึงได้สั่งให้เลื่อนและปิดประชุม หากจำเลยที่ ๔มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยที่ ๔ จะไม่นำเรื่องการแต่งตั้งโจทก์บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมก็ย่อมได้ เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพิ่งเสนอบัญชีรายชื่อโจทก์มาให้เมื่อวันที่ ๘พฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นวันศุกร์ และการประชุมจะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลากระชั้นชิด แต่จำเลยที่ ๔ ก็ยังนำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ ๔ ก็รู้อยู่ว่าโจทก์ยังมีโทษทางวินัยอยู่การที่ภายหลังต่อมามีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนการประชุมดังกล่าวแล้วจึงไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๔ สั่งเลื่อนและปิดประชุมโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ส่วนกรณีที่จำเลยที่ ๔ รับหนังสือลงวันที่ ๑๓กรกฎาคม ๒๕๓๕ ของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๔ แกล้งเก็บเรื่องไว้ไม่รีบตอบให้จำเลยที่ ๒ ทราบ เพราะหนังสือออกมาหลายวันแล้วและจำเลยที่ ๔เพิ่งแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๕ นั้นโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับหนังสือดังกล่าววันใดส่วนจำเลยที่ ๔ นำสืบว่าได้รับเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕โดยนายสมศักดิ์ อัศวชิตานนท์ เจ้าหน้าที่หน้าห้องเป็นผู้นำมาเสนอจำเลยที่ ๔ เห็นผิดปกติเนื่องจากหนังสือมาถึงล่าช้า ได้สอบถามนายสมศักดิ์แล้วทราบว่านางวาสนา ศรีสถิตย์ เจ้าหน้าที่กองงาน ก.ต.นำมาส่งให้ในวันนั้น จำเลยที่ ๔ จึงให้นายสมศักดิ์บันทึกไว้ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๗๙ โดยจำเลยมีนายสมศักดิ์มาเป็นพยานเบิกความยืนยันในข้อนี้ เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ววันใดเช่นนี้จะฟังว่าจำเลยที่ ๔ แกล้งเก็บเรื่องไว้ไม่รีบแจ้งให้จำเลยที่ ๒ทราบหาได้ไม่ ด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมา เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้ฟังว่าจำเลยที่ ๔ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังข้อกล่าวหา จำเลยที่ ๔จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓และที่ ๔ เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

Share