คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4873/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและให้คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลยทั้งเจ็ดตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2540 ก็ตาม แต่จำเลยทั้งเจ็ดก็ยังอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าวอยู่ คดีเพิ่งถึงที่สุดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 โดยศาลฎีกาพิพากษายืนไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเจ็ด กรณีนี้ต้องถือว่าก่อนคดีจะถึงที่สุด เงินค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวยังไม่เป็นเงินค้างจ่าย เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจึงจะเป็นเงินค้างจ่ายที่ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายใน 5 ปี การที่จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืนเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 ยังไม่พ้น 5 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด จึงเป็นการเรียกเอาภายในกำหนดเวลาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 บัญญัติไว้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งเจ็ดให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินแก่จำเลย ทั้งเจ็ด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๐ ให้รับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเจ็ดเห็นว่าไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๓
จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำแถลงลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ อนุญาตให้จ่ายตามระเบียบ ต่อมาวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๕ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๐ จำเลยทั้งเจ็ดสามารถขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืนได้นับแต่วันดังกล่าว เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดไม่ขอรับคืนภายใน ๕ ปี เงินจำนวนนี้จึงตกเป็นรายได้แผ่นดิน ที่ศาลสั่งอนุญาตให้รับค่าขึ้นศาลคืนเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ เป็นการสั่งที่ผิดหลง อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๕ และมีคำสั่งใหม่ว่า ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งเจ็ดรับค่าขึ้นศาล จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ขอรับคืนภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่มีสิทธิรับคืน
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งเจ็ดว่า จำเลยทั้งเจ็ดได้เรียกเอาค่าขึ้นศาลคืนภายในกำหนด ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ หรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมี คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและให้คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลยทั้งเจ็ดตั้งแต่วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๐ ก็ตาม แต่จำเลยทั้งเจ็ดก็ยังอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งดังกล่าวอยู่ คดีเพิ่งถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๓ โดยศาลฎีกาพิพากษายืนไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งเจ็ด กรณีนี้ต้องถือว่าก่อนที่คดีจะถึงที่สุด เงินค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าว ยังไม่เป็นเงินค้างจ่าย เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจึงจะเป็นเงินค้างจ่ายที่ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายใน ๕ ปี การที่จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าขึ้นศาลคืนเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ยังไม่พ้น ๕ ปี นับแต่คดีถึงที่สุด จึงเป็นการเรียกเอา ภายในกำหนดเวลาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ บัญญัติไว้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งเจ็ดรับค่าขึ้นศาลคืน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งเจ็ดฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้คืนค่าขึ้นศาลจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยทั้งเจ็ด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ เป็นพับ

Share