คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4872/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการของโจทก์ทำเอกสารเท็จเบิกเงินจากโจทก์ไปโดยมิชอบต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินติดตามเอาทรัพย์ของตนคืน มิใช่เป็น การละเมิดที่จำเลยจะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ขึ้นมาบอกปัดการชำระหนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 30กันยายน 2532 ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานป่าไม้ ทำหน้าที่หัวหน้าสวนรุกขชาติถ้ำจอมพล จังหวัดราชบุรี จำเลยได้กระทำทุจริตโดยทำเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวรายวันและเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพประจำเดือนตุลาคม2529 ถึงเดือนกันยายน 2532 รวม 36 เดือน ด้วยการกรอกข้อความอันเป็นเท็จระบุชื่อคนงานลูกจ้างชั่วคราวเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่ามีคนงานลูกจ้างชั่วคราวได้มาปฏิบัติหน้าที่ตามวันเวลาดังกล่าวพร้อมกับคนงานอื่นจริง แล้วจำเลยได้ปลอมลายมือชื่อของลูกจ้างดังกล่าวลงในช่องผู้รับเงินในเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวรายวันเพื่อนำไปเป็นหลักฐานอ้าง แสดงและรับรองต่อเจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานป่าไม้เขตบ้านโป่งว่าลูกจ้างดังกล่าวได้มาปฏิบัติงานตามวันเวลาดังกล่าวต่อหน้าจำเลย ทั้งที่ความจริงแล้วลูกจ้างดังกล่าวบางคนไม่มีตัวตนและไม่เคยมาปฏิบัติงานตามวันเวลาดังกล่าว เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานป่าไม้เขตบ้านโป่งเชื่อว่าเป็นความจริงจึงดำเนินการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวรายวันและเงินช่วยเหลือค่าครองชีพลูกจ้าง ซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ให้แก่จำเลยไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น463,395.20 บาท จำเลยจึงได้ทรัพย์สินของโจทก์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะเจ้าของเงินดังกล่าวจึงใช้สิทธิติดตามเอาเงินคืนโดยมีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2538 แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2538จนถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 46,339.52 บาท รวมเป็นยอดเงินทั้งสิ้น509,734.72 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 509,734.72 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 463,395.20 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เงินตามฟ้องเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติและจัดสรรเงินส่วนนี้ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้กำกับดูแลการใช้เงิน โจทก์ในฐานะกรมมีหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนเสนอเรื่องขอเบิกจ่ายเงินส่วนนี้จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้มีอำนาจรับเงินอีกทอดหนึ่ง โจทก์จึงมิใช่เจ้าของเงินตามฟ้อง ไม่มีอำนาจฟ้องในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2532 จำเลยไม่ได้กระทำการทุจริตในการจัดทำเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพรวม 36 เดือนและไม่ได้เบียดบังหรือกระทำการโดยทุจริตเอาเงินตามฟ้องไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่ได้จ่ายเป็นค่าสินจ้างให้แก่บุคคลภายนอกที่รับปรับปรุงสวนรุกขชาติถ้ำจอมพลให้มีสภาพสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดราชบุรีคำฟ้องคดีนี้ก็เป็นฟ้องซ้ำและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 377/2538 ของศาลชั้นต้นเพราะพนักงานอัยการจังหวัดราชบุรีเคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาดังกล่าว แต่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมิได้กระทำผิดและไม่มีหน้าที่ต้องคืนหรือใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องอีกจึงเป็นการฟ้องซ้ำและการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะแม้โจทก์จะหลีกเลี่ยงโดยใช้สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเรียกเงินหรือทรัพย์คืนจากจำเลยแต่การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์อ้างหรือบรรยายในคำฟ้องถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์ทราบเหตุแห่งการละเมิดของจำเลยตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2536จากการแจ้งผลของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 กันยายน2539 จึงเกินกว่า 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบเหตุผลแห่งการละเมิด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 463,395.20บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1พฤษภาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ต้องไม่เกิน46,339.52 บาท ตามคำขอของโจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเลยเป็นข้าราชการดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานป่าไม้ขณะเกิดเหตุจำเลยปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าสวนรุกขชาติถ้ำจอมพลเมื่อระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2529 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2532 จำเลยได้จัดทำเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวรายวันและเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพประจำเดือนตุลาคม2529 ถึงเดือนกันยายน 2532 แล้ว นำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่การเงินของสำนักงานป่าไม้เขตบ้านโป่งเพื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 483,550.20บาท จำเลยถูกดำเนินคดีอาญาโดยพนักงานอัยการจังหวัดราชบุรีได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 377/2538 ของศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษและให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ มิใช่เป็นการเรียกเงินคืนดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อโจทก์ทราบเรื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2536 จากการแจ้งผลของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการตามเอกสารหมายจ.4 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหนึ่งปีถึงวันฟ้องคือวันที่ 26 กันยายน 2539 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการของโจทก์กระทำเอกสารเท็จเบิกเงินจากโจทก์ไปโดยมิชอบ ต้องถือว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปโดยไม่มีสิทธิ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าว จึงเป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินติดตามเอาทรัพย์ของตนคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 กรณีมิใช่เป็นการละเมิดที่จำเลยจะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ขึ้นมาบอกปัดการชำระหนี้ได้คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share