แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินและ ตึกแถวพิพาทมาจาก ส. และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม จำเลยเช่าตึกแถวดังกล่าวจาก ส. ครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อีกต่อไปจำเลยฟ้องแย้งว่า ส. ให้จำเลยเช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทมีกำหนด 10 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าหากจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าก่อนครบสัญญาจะต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยได้ซื้อก่อน แต่โจทก์สมคบกับส. และ ก. ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมฉ้อฉลจดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์โดยไม่ให้สิทธิแก่จำเลยก่อนทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาท ให้โจทก์กับ ส. และ ก. ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ทั้งเป็นการขอให้บังคับบุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย ต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของตึกแถวเลขที่ 184โดยซื้อมาจากนางสาวสุมณฑา พัชรพร และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมที่ดินโฉนดที่ 408 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2533 จำเลยเช่าตึกแถวดังกล่าวจากนางสาวสุมณฑา มีกำหนด 4 ปี ครบกำหนดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวของโจทก์ทั้งสอง ส่งมอบตึกแถวคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย ถ้าจำเลยและบริวารไม่ยอมออกก็ให้โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายดำเนินการแทน โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,500 บาทจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากตึกแถวของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 408 พร้อมตึกแถวเลขที่ 184 ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด จ.พัฒนาอะไหล่อะไหล่ยนต์กรุงเทพมหานคร ที่ดินและตึกแถวดังกล่าวเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.พัฒนาอะไหล่ยนต์ที่โจทก์ทั้งสองเป็นหุ้นส่วน โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง นางสาวสุมณฑาให้จำเลยเช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทมีกำหนด 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2527 ถึงวันที่30 เมษายน 2537 โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าก่อนครบสัญญาเช่าผู้ให้เช่าต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสองเดือน เพื่อให้โอกาสจำเลยได้ซื้อก่อนเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควร เงื่อนไขดังกล่าวโจทก์ทั้งสองทราบดีนางสาวสุมณฑาแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่นางกรรณิการ์ พิเขียรสวัสดิ์ กึ่งหนึ่ง โจทก์ทั้งสองได้สมคบกับนางสาวสุมณฑาและนางกรรณิการ์ฉ้อฉลจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองในราคา 1,700,000 บาทโดยไม่ให้สิทธิจำเลยก่อน ทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเพราะที่ดินและตึกแถวพิพาทมีราคาไม่ต่ำกว่า 8,000,000 บาทถ้าเจ้าของเดิมให้สิทธิจำเลยก่อน จำเลยจะซื้อในราคา 6,000,000บาท และนางกรรณิการ์ใช้ค่าเสียหาย 2,000,000 บาท ให้แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสองกับบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทมาจากนางสาวสุมณฑา พัชรพร และผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจำเลยเช่าตึกแถวดังกล่าวจากนางสาวสุมณฑา ครบกำหนดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อีกต่อไป ที่จำเลยฟ้องแย้งว่านางสาวสุมณฑาให้จำเลยเช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทมีกำหนด10 ปี ถึงวันที่ 30 เมษายน 2537 โดยมีเงื่อนไขว่าหากจะขายทรัพย์สินที่ให้เช่าก่อนครบสัญญา จะต้องแจ้งให้จำเลยทราบก่อนว่าจะขายให้ผู้ใด เป็นเงินเท่าใด เพื่อให้โอกาสจำเลยได้ซื้อก่อนแต่โจทก์ทั้งสองสมคบกับนางสาวสุมณฑาและนางกรรณิการ์พิเชียรสวัสดิ์ ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมฉ้อฉลจดทะเบียนโอนที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยไม่ให้สิทธิแก่จำเลยก่อนทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและตึกแถวพิพาท ให้โจทก์ทั้งสองกับนางสาวสุมณฑาและนางกรรณิการ์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมทั้งเป็นการขอให้บังคับบุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วยชอบที่จำเลยจะนำคดีไปฟ้องร้องเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหากที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน