คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2333/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้เดิมซึ่งจำเลยกู้เงินโจทก์โดยมีดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อเดือน รวมอยู่ในจำนวนเงินที่ลงไว้ในเช็ค ด้วย นั้น ดอกเบี้ย ทั้งหมดย่อมตก เป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ในการเรียกดอกเบี้ย เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตาม พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเฉพาะ ต้นเงินเท่านั้น
แม้จำเลยจะให้การและนำสืบว่าได้ นำเงิน 110,000 บาท ไปเข้าบัญชีโจทก์เพื่อชำระหนี้จำนองแทนโจทก์ ก็จะถือว่าจำเลยชำระเงินกู้ยืมต่อ โจทก์เป็นเงิน 110,000 บาท แล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีกหาได้ไม่ เพราะจำเลยมิได้กล่าวในคำให้การขอให้ศาลหักกลบลบหนี้ให้จำเลยหรือโดยการฟ้องแย้ง จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตาม ที่จำเลยให้การเช่นนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาศรีสะเกษ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จำนวนเงิน ๒๒๑,๐๐๐ บาท เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชี ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒๓๔,๘๑๒ บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๒๑,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ๑๑๗,๐๐๐ บาท โจทก์ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน ๑๑๗,๐๐๐ บาท มอบให้โจทก์ไว้แทนสัญญากู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อเดือน การชำระดอกเบี้ยให้ชำระเป็นรายเดือน ถ้าครบกำหนดแล้วไม่ชำระโจทก์จะเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินเดิมเป็นต้นเงินใหม่แล้วให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่ตามจำนวนต้นเงินใหม่ให้โจทก์ โจทก์จำเลยปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คฉบับที่ ๗ และฉบับสุดท้าย เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์โดยมีดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือนรวมอยู่ในจำนวนเงินที่ลงไว้ในเช็คด้วย นอกจากนี้จำเลยได้นำเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาทไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีสะเกษ เพื่อชำระหนี้จำนองแทนโจทก์และเพื่อมิให้มีการขายทอดตลาดที่ดินที่จำนองซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าซื้อ และจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์อีก ๗,๐๐๐ บาท เช็คพิพาทจึงปราศจากมูลหนี้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยฟังว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้เดิมซึ่งจำเลยกู้เงินโจทก์โดยมีดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อเดือน รวมอยู่ในจำนวนเงินที่ลงไว้ในเช็คนั้นด้วย ดอกเบี้ยทั้งหมดย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะวัตถุประสงค์ในการเรียกดอกเบี้ยเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ โจทก์ผู้ให้กู้คงมีสิทธิเรียกร้องแต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้นส่วนตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยนำเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีสะเกษ เพื่อชำระหนี้จำนองแทนโจทก์และเพื่อมิให้มีการขายทอดตลาดที่ดินของโจทก์ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าซื้อ จึงถือว่าจำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมต่อโจทก์เป็นเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท แล้วนั้นเห็นว่า จำเลยได้ให้การไว้เพียงว่า ” จำเลยได้นำเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาทไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาศรีสะเกษเพื่อชำระหนี้จำนองแทนโจทก์และเพื่อมิให้มีการขายทอดตลาดที่ดินที่จำนองซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าซื้อ” เท่านั้น มิได้ขอบังคับให้ศาลหักกลบลบหนี้ให้จำเลยหรือโดยการฟ้องแย้ง จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะบังคับให้เป็นไปตามที่จำเลยให้การเช่นนั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๑๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.

Share