คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4861/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปในที่ดินมีโฉนดของโจทก์โดยมีเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ และจำเลยที่ 1 ได้คัดค้านการรังวัดที่ดินเพื่อสอบเขตที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองบุกรุกดังกล่าวอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้ขับไล่ จำเลยทั้งสองกับบริวารและรื้อสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายของทั้งหมดออกไป จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยบุกรุก จำเลยที่ 1 กับสามีได้ซื้อที่ดินมีโฉนด แล้วได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ที่ดินที่ซื้อมานั้นรวมทั้งที่ดินพิพาท โดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซื้อมา จำเลยที่ 1 กับสามีได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้ใดโต้แย้งตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง แม้คำให้การของจำเลยทั้งสองในตอนแรกจะปฏิเสธว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองให้การในตอนต่อมาว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมากับที่ดินที่ซื้อมา เข้าใจว่าเป็นที่ดินที่ซื้อมาจากบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคำให้การที่จำเลยที่ 1 ยกข้อต่อสู้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของบุคคลอื่น เมื่อคำให้การของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้น จึงมิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 อ้างการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามคำฟ้องและมีคำขอบังคับให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ถือได้ว่าคำฟ้องเดิมและฟ้องแย้งนี้เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 460 ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี และห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสาปูนและรั้วลวดหนามซึ่งล้อมรั้วไว้ในบริเวณที่ดินพิพาทกับให้ขนย้ายสิ่งของออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในอัตราปีละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนเสาปูนและรั้วลวดหนามออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง และจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 460 ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา ตามรูปแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจดทะเบียนแก้สารบัญการจดทะเบียนที่ดินโฉนดที่ดิน 460 ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ห้ามโจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยทั้งสองและฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งแล้วมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ทั้งหมด
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 460 ของโจทก์ทางด้านทิศเหนือทำการปักเสาปูนและล้อมรั้วลวดหนามตามแนวที่ปักเสาปูนคิดเป็นเนื้อที่ที่ดินพิพาท 3 งาน 24 ตารางวา โดยมีเจตนาแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ และจำเลยที่ 1 ได้คัดค้านการรังวัดที่ดินเพื่อสอบเขตที่ดินของโจทก์ในส่วนที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองบุกรุกดังกล่าวอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองกับบริวารรื้อสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสิ่งของทั้งหมดออกไปจากที่ดินพิพาทกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา ของโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 กับสามีได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 4442 มาจากนายหยุดกับนางฟัก ตั้งแต่เมื่อปี 2507 แล้วได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ที่ดินที่ซื้อมานั้นรวมทั้งที่ดินพิพาทที่มีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินด้านทิศเหนือของโจทก์ โดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนายหยุดกับนางฟัก จำเลยที่ 1 กับสามีได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้ใดโต้แย้งตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง แม้คำให้การของจำเลยทั้งสองในตอนแรกจะปฏิเสธว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนืออันเป็นที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสองให้การในตอนต่อมาว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมากับที่ดินโฉนดเลขที่ 4442 ที่จำเลยที่ 1 กับสามีได้ซื้อจากนายหยุดกับนางฟัก ตั้งแต่ปี 2507 โดยจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็นที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซื้อมาจากบุคคลอื่น ซึ่งเป็นคำให้การที่จำเลยที่ 1 ยกข้อต่อสู้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของบุคคลอื่น เมื่อคำให้การของจำเลยที่ 1 มิได้กล่าวอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้น จึงมิใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 อ้างการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองดังความเห็นของศาลล่างทั้งสอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ตามคำฟ้องและมีคำขอบังคับให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการแก้ไขสารบัญการจดทะเบียนของโฉนดที่ดินเลขที่ 460 ของโจทก์ ให้ที่ดินพิพาทมีชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ กับห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ถือได้ว่าคำฟ้องเดิมและฟ้องแย้งนี้เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เป็นรับฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่.

Share