แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา378(1)มัดจำนั้นถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเงินมัดจำที่ริบจะจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนได้ต่อเมื่อมีการปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องกันตามสัญญาเมื่อจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดสัญญาและมีการเลิกสัญญาแสดงว่าจำเลยที่1มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญาเงินมัดจำที่ริบจึงไม่อาจจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนสำหรับหนี้ค่าจ้างก่อสร้างที่จำเลยที่1ค้างชำระแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารตึก 2 ชั้น จำนวน 16 ห้อง ในที่ดินของจำเลยทั้งสองในราคา1,500,000 บาท จำเลยทั้งสองวางเงินมัดจำในวันทำสัญญาจำนวน200,000 บาท ตกลงว่าหากจำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่จ่ายค่าจ้างตามงวดไม่ว่าด้วยกรณีใด จำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์ริบเงินมัดจำเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือจะชำระให้โจทก์รวม 6 งวด ตามกำหนดเวลาและผลงานที่โจทก์ได้ทำ โจทก์ได้จัดหาและซื้อวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือ และทำงานงวดแรกคือตอกเสาเข็มแล้วเสร็จภายในวันที่15 กุมภาพันธ์ 2535 ตามสัญญา แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าจ้างงวดแรกจำนวน 300,000 บาท แก่โจทก์ โจทก์เริ่มทำงานงวดที่ 2โดยขุดหลุมเพื่อทำฐานราก ผูกเหล็กเตรียมตั้งเสา เตรียมเหล็กคานคอดินชั้นล่าง ตีไม้แบบ ใช้วัสดุก่อสร้าง เช่น ปูน ทรายหิน เหล็กเส้น คิดเป็นเงินประมาณ 70,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์ระงับโจทก์ระงับการก่อสร้างและบอกเลิกสัญญาโจทก์จึงหยุดทำการก่อสร้าง การบอกเลิกสัญญาของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน200,000 บาท เพราะเป็นเงินที่เป็นหลักประกันว่า ถ้าผู้จ้างไม่ยอมชำระค่าจ้างตามผลงาน ผู้รับจ้างสามารถหักเงินมัดจำนั้นเป็นค่าจ้างตามผลงานที่ทำไปแล้วโจทก์ขนย้ายเครื่องมือเครื่องใช้เพราะทำงานงวดแรกเสร็จแล้ว จึงต้องขนย้ายเครื่องมือเครื่องใช้ออกไปเอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่คาดว่าจะได้กำไร600,000 บาท เพราะโจทก์ไม่ได้ทำการก่อสร้างตามสัญญาจนแล้วเสร็จโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย เนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ก่อสร้างอาคารให้ถูกต้องตามแบบแปลนอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา ก่อสร้างผิดหลักวิชาการทั่วไปรวมทั้งใช้วัสดุไม่ตรงตามลักษณะของงานแต่ละส่วนอันผิดจากแบบแปลนที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันไว้ หากยินยอมให้โจทก์ก่อสร้างอาคารต่อไป อาจเกิดความเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ จำเลยที่ 1 จึงบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง(11 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 11 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท ที่โจทก์ริบตามหนังสือสัญญาทำการก่อสร้างจะจัดเอาเป็นการชำระหนี้บางส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (1) ได้หรือไม่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมา ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาทำการก่อสร้างและมีการเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าจ้างก่อสร้างงวดแรกจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โจทก์ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(1) มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเงินมัดจำที่ริบจะจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนได้ต่อเมื่อมีการปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องกันตามสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1เป็นฝ่ายผิดสัญญา และมีการเลิกสัญญาแสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญา เงินมัดจำที่ริบจึงไม่อาจจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนสำหรับหนี้ค่าจ้างก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างงวดแรกให้แก่โจทก์เต็มจำนวน 300,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น