คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4861/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา378(1)มัดจำนั้นถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นเงินมัดจำที่ริบจะจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนได้ต่อเมื่อมีการปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องกันตามสัญญาเมื่อจำเลยที่1ซึ่งเป็นฝ่ายว่าจ้างผิดสัญญาและมีการเลิกสัญญาแสดงว่าจำเลยที่1มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญาเงินมัดจำที่โจทก์ริบไว้จึงไม่อาจจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนสำหรับหนี้ค่าจ้างก่อสร้างที่จำเลยที่1ค้างชำระแก่โจทก์ได้จำเลยที่1จึงต้องชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างงวดแรกให้แก่โจทก์เต็มจำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง(11 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 11 พฤษภาคม 2535) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าเงินมัดจำจำนวน 200,000 บาท ที่โจทก์ริบตามหนังสือสัญญาทำการก่อสร้าง จะจัดเอาเป็นการชำระหนี้บางส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(1) ได้หรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมา ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาทำการก่อสร้างและมีการเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าจ้างก่อสร้างงวดแรกจำนวน 300,000 บาท ให้แก่โจทก์ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(1) มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เงินมัดจำที่ริบจะจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนได้ต่อเมื่อมีการปฏิบัติการชำระหนี้ถูกต้องตามสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1เป็นฝ่ายผิดสัญญา และมีการเลิกสัญญาแสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสัญญา เงินมัดจำที่ริบจึงไม่อาจจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนสำหรับหนี้ค่าจ้างก่อสร้างที่จำเลยที่ 1ค้างชำระแก่โจทก์ได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างงวดแรกให้แก่โจทก์เต็มจำนวน 300,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

Share