คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีได้ลงชื่อเป็นพยานรู้เห็นในสัญญาจะซื้อขาย ย่อมถือได้ว่า สามีได้ยินยอมหรือให้สัตยาบันโดยปริยายในสัญญาแล้ว
หนี้ที่เกิดขึ้นเพราะภรรยาผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างภรรยากับสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(4) สามีต้องรับผิดร่วมด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำกับค่าที่ดินซึ่งจำเลยรับไปเพราะจำเลยผิดสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจะใช้เงินให้โจทก์ แล้วจำเลยไม่ใช้โจทก์จึงนำยึดที่ดินดังกล่าวซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางแจ่ม ขุนทอง และนายถนอม โพธิ์ศรี

นายถนอม โพธิ์ศรี ยื่นคำร้องว่าผู้ร้องกับนางแจ่ม ขุนทอง ได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดอยู่แล้ว และเป็นที่แปลงเดียวกับที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยให้ถอนคำคัดค้าน การที่ผู้ร้องขอแบ่งแยกโฉนดรายนี้ตามสำนวนคดีแพ่งดำที่ 10/2508 ของศาลชั้นต้น ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคดีแพ่งดำที่ 10/2508

นายพู เรืองพล ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีจำเลย ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลย สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยทำกันเองโดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นได้ความยินยอมขอให้ศาลสั่งแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของผู้ร้อง คือ เงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดเฉพาะส่วนของจำเลยออกเสีย โดยถือเอา 2 ใน 3 ส่วนเป็นของผู้ร้อง

โจทก์คัดค้านคำร้องขอผู้ร้องทั้งสอง

ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า ที่ดินแปลงที่ยึดยังมิได้มีการแบ่งเป็นส่วนสัด และหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับนายพูผู้ร้อง ผู้ร้องรับผิดร่วมด้วย ให้ขายที่ดินไปทั้งแปลงแล้วคืนเงินที่ขายได้ให้นายถนอม โพธิ์ศรี และนางแจ่ม ขุนทอง ตามส่วน ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง

ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฎีกาของนายถนอม โพธิ์ศรี นั้น ปรากฏว่าที่ดินยังมิได้มีการครอบครองกันเป็นส่วนสัดระหว่างผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์จึงขอให้ขายทอดตลาดทั้งแปลง แล้วแบ่งเงินที่ขายได้ให้นายถนอมผู้ร้องและนางแจ่ม ขุนทองได้ ส่วนฎีกาของนายพู เรืองพลผู้ร้องที่ว่า ขณะจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ จำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่เลย การซื้อขายเป็นโมฆะ นั้น เห็นว่า ในคำร้องของจำเลย จำเลยมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นกล่าวอ้าง จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยในข้อนี้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์จริงหรือไม่นั้น ปรากฏว่าผู้ร้องได้ลงชื่อเป็นพยานรู้เห็นในสัญญาจะซื้อขาย ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องได้ยินยอมหรือให้สัตยาบันโดยปริยายในสัญญาแล้วหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(4) ผู้ร้องต้องรับผิดร่วมด้วย จะขอให้แบ่งเงินที่ขายได้ออกเป็นส่วนของตนหาได้ไม่

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาผู้ร้องทั้งสอง

Share