แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไม่เป็นไปตามข้อตกลง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นไปตามข้อตกลงและพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไม่ชอบเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(3)โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ การที่ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นโดยใช้ถ้อยคำว่าน่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการให้ความเห็นในลักษณะเป็นคำยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้ว โจทก์ต้องแพ้คดีตามคำท้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 40,000 บาท ตกลงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ภายในวันที่ 25 มกราคม2532 เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 69,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ลายมือชื่อจำเลยในหนังสือรับสภาพหนี้เป็นลายมือชื่อปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อ”นายสว่าน คำตุ้ม” บรรทัดที่มีเครื่องหมายดอกจันในหนังสือรับสภาพหนี้ฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2531 เอกสารหมายจ.1 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้กู้ตามเอกสารหมายจ.2 และ จ.4 ลายมือชื่อจำเลยลำดับที่ 5 ด้านหลังเอกสารหมาย จ.3 ลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้ค้ำประกันเอกสารหมายจ.5 และลายมือชื่อจำเลยที่ได้จัดทำขึ้นต่อหน้าศาลเอกสารหมายล.1 ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่หากผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันจำเลยยอมรับว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามฟ้องทุกประการและยอมแพ้คดี หากมีความเห็นว่า ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันโจทก์ยอมแพ้คดี โจทก์และจำเลยต่างสละประเด็นอื่นทั้งหมดรายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่11 มิถุนายน 2536 ต่อมาผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้วมีความเห็นว่ามีคุณสมบัติของการเขียนและคุณสมบัติของลายเส้นแตกต่างกัน แต่เนื่องจากตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยมีลักษณะการเขียนไม่คงที่ในกรณีนี้จึงลงความเห็นว่าน่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน จึงเป็นไปตามที่โจทก์และจำเลยท้ากันแล้ว โจทก์ต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามรายงานตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เชี่ยวชาญนั้น ผู้เชี่ยวชาญมิได้ชี้ชัดลงไปว่าลายมือชื่อ”นายสว่าน คำตุ้ม” ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.1กับลายมือชื่อจำเลยตามที่ระบุไว้ในเอกสารตัวอย่าง มิใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน กรณีจึงไม่อาจยุติตามคำท้าของโจทก์และจำเลยได้ เพราะความเห็นของเชี่ยวชาญที่จะฟังเป็นยุติตามข้อตกลงท้ากันของโจทก์จำเลยนั้น ผู้เชี่ยวชาญจะต้องยืนยันอย่างชัดเจนว่าลายมือชื่อ “นายสว่าน คำตุ้ม” ตามเอกสารหมาย จ.1 กับลายมือชื่อจำเลยในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงควรมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีจึงไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและแจ้งให้โจทก์จำเลยทราบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกับมีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2536 ว่า กรณีเป็นไปตามที่คู่ความได้ตกลงท้ากัน คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณาให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เวลา 9 นาฬิกาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่7 ธันวาคม 2536 โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวแต่มิได้คัดค้านหรือโต้แย้งจนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาในวันที่ 28 ธันวาคม 2536 คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างการพิจารณา อุทธรณ์โจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องที่ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์และจำเลยทราบเกี่ยวกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แต่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่มิได้เป็นไปตามข้อตกลงของโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1) โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ เห็นว่าตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้างต้นเป็นการอุทธรณ์ว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญไม่เป็นไปตามข้อตกลง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นไปตามข้อตกลงและพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไม่ชอบ จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(3) โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ทั้งอุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย เพื่อมิให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็น ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาใหม่ คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์จำเลยตกลงท้ากันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2536 ให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อ”นายสว่าน คำตุ้ม” บรรทัดที่มีเครื่องหมายดอกจันในหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.1 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยในหนังสือกู้เงิน 3 ฉบับ หนังสือค้ำประกัน 1 ฉบับตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 และลายมือชื่อจำเลยที่จัดทำขึ้นต่อหน้าศาลชั้นต้นจำนวน 3 แผ่น ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ หากผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันจำเลยยอมแพ้ ถ้ามีความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันโจทก์ยอมแพ้คดี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้วมีความเห็นว่า น่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันนั้นถือได้ว่าเป็นการให้ความเห็นในลักษณะเป็นคำยืนยันหรือทำนองยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตรงตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้วโจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น