คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจำนำเป็นการเอาทรัพย์เป็นประกันการชำระหนี้อาจแบ่งแยกการจำนำกับหนี้ที่เอาทรัพย์เป็นประกันเป็นคนละส่วนได้ เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญโดยบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 หรือจะบังคับจำนำก็ได้ การจำนำมิได้ผูกพันผู้รับจำนำให้ต้องบังคับจำนำเฉพาะแต่ทางเดียว

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2498 จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 35,000 บาท ได้รับต้นเงินไปครบถ้วนแล้ว จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เพียง 3 เดือน โจทก์ทวงถาม จำเลยก็ผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งพ.ศ. 2507 เป็นเวลาเกือบ 10 ปี โจทก์จึงมอบให้ทนายบอกกล่าวให้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย แต่จำเลยคงเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินกับดอกเบี้ย และให้ชำระดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้จริง แต่สัญญาฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วและได้ทำสัญญาขึ้นใหม่แทน โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน กำหนดใช้เงินคืน 3 เดือน จำเลยที่ 1 มอบทะเบียนรถยนต์ ในโอนรถยนต์ และรถยนต์ 1 คัน ซึ่งขณะนั้นมีราคาไม่น้อยกว่า 35,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การต่อไปว่า โจทก์ไม่ยอมให้ขายรถยนต์ชำระหนี้โจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ยึดรถยนต์อยู่ในเวลานั้น หากโจทก์ยอมให้ขายเสียเมื่อมีคนเสนอราคาซื้อแล้ว โจทก์ก็จะได้รับเงินชำระหนี้ครบถ้วนมาช้านาน แต่โจทก์กลับปล่อยปละละเลยทิ้งรถยนต์ไว้นานเกือบ10 ปี ทำให้เกิดความชำรุดเสียหายเสื่อมราคาลงอันเป็นความผิดของโจทก์เอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้ดอกเบี้ยก็ไม่ต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ 2ต่อสู้ด้วยว่า โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มิได้ยินยอม มิได้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ภายในเวลาอันสมควร ทำให้รถยนต์ที่ประกันชำรุดเสียหายเสื่อมราคาจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้มอบรถยนต์ไว้เป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิบอกกล่าวบังคับจำนำปล่อยปละละเลยมานานปีเป็นเหตุให้รถยนต์เสื่อมโทรมจนใช้การไม่ได้จึงไม่มีสิทธิฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์โดยยังมิได้ชำระหนี้ภายในกำหนด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระต้นเงินกับดอกเบี้ยให้โจทก์ พิพากษากลับให้จำเลยทั้ง 2 ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง

จำเลยทั้ง 2 ฎีกาว่าจำเลยเอารถยนต์จำนำไว้กับโจทก์เป็นประกันการชำระหนี้ และโจทก์เองก็ได้ครอบครองรถยนต์เป็นเวลาเกือบ 10 ปีทำให้เกิดชำรุดทรุดโทรมและเสื่อมราคา ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับชำระหนี้ด้วยรถยนต์แล้ว

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่ามีการจำนำรถยนต์เป็นประกันหลักฐานการชำระหนี้ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่าลักษณะของการจำนำนั้นเป็นการเอาทรัพย์เป็นประกันการชำระหนี้ อาจแบ่งแยกการจำนำกับหนี้ที่เอาทรัพย์เป็นประกันนั้นเป็นคนละส่วนได้ หรืออีกนัยหนึ่ง หนี้ที่มีจำนำเป็นประกัน เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ โดยบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 หรือจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้การจำนำมิได้ผูกพันผู้รับจำนำให้ต้องบังคับจำนำเฉพาะแต่ทางเดียว ฉะนั้นโจทก์จะใช้สิทธิบังคับจำเลยอย่างหนี้สามัญ โดยสละบุริมสิทธิที่โจทก์มีเหนือทรัพย์ที่จำนำก็ย่อมทำได้ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยอมรับชำระหนี้รถยนต์แทนการชำระเงิน ส่วนในกรณีที่รถยนต์ทรุดโทรมทำให้เสื่อมราคานั้น จำเลยก็มีสิทธิว่ากล่าวเอากับโจทก์ตามกฎหมายอยู่แล้ว หากจำเลยไม่ใช้สิทธิที่ว่านั้นก็ย่อมเป็นความผิดของจำเลยเอง

พิพากษายืน

Share