คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4848/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า…พ.ศ. 2522 ได้ตราออกใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามข้อ 78 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28พฤศจิกายน 2514 อายุการบังคับใช้ของพระราชกฤษฎีกาจึงต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ข้อ 79 พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงให้ใช้ได้มีกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2522 แม้ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 7 ให้ยกเลิกความในส่วนที่ 3 การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงข้อ 63 ถึงข้อ 80 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295…แล้วก็ตามแต่มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างและประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วนซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ให้คงใช้บังคับได้ตามอายุของพระราชกฤษฎีกานั้น และวรรคสองของมาตรานี้บัญญัติทำนองเดียวกันกับมาตรา 36 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ว่า การเวนคืนและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ดังนั้นพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 1พฤศจิกายน 2532 และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่แขวงหัวหมาก…เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343 สายคลองตัน – ลาดกระบัง พ.ศ. 2532มีผลใช้บังคับวันที่ 7 กันยายน 2532 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯ การเวนคืนรายนี้จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่ามีการออก พระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และหลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28พฤศจิกายน พ.ศ. 2515(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มีผลใช้บังคับแล้ว การดำเนินการในเรื่องค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ยังไม่เสร็จสิ้น การดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้จึงต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และในขณะดำเนินคดีนี้ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ออกใช้บังคับซึ่งข้อ 1 บัญญัติว่าให้ยกเลิกความในวรรคสี่และวรรคห้าของมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ในการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และจำนวนเงินค่าทดแทนให้คณะกรรมการกำหนดโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 18 มาตรา 21 มาตรา 22 และมาตรา 24…” และข้อ 5 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า บทบัญญัติมาตรา 9 วรรคสี่และวรรคห้า… แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับแก่การเวนคืนซึ่งการกำหนดราคาเบื้องต้น การจัดซื้อการจ่ายหรือการวางเงินค่าทดแทน การอุทธรณ์หรือการฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย ดังนั้น การกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์จึงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 ที่ให้กำหนดเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึงอนุมาตรา (1) ถึง (5) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม อันเป็นหลักการสำคัญของการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืน
สำหรับคดีนี้ พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 แล้ว แต่กรมทางหลวง จำเลยที่ 1 เพิ่งวางเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานวางทรัพย์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2533 การที่จำเลยที่ 1 และอธิบดีกรมทางหลวง จำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการชดใช้ค่าทดแทนภายในเวลาอันควร แต่ปล่อยระยะเวลามาเนิ่นนานกว่า 10 ปี เป็นการดำเนินการที่มิได้เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 มาตรา 33 วรรคสาม ซึ่งใช้บังคับในขณะที่ที่ดินของโจทก์ถูกกำหนดเป็นเขตแนวทางหลวงตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวทำให้โจทก์ขาดโอกาสที่จะนำเอาเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ที่มีราคาใกล้เคียงหรือสูงกว่าที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนไม่มากนักได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์โดยคำนึงถึงมาตรา 21 เฉพาะอนุมาตรา (1) ถึง (4) คือ ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดประกอบราคาที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ประกอบราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประกอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินของโจทก์ใน พ.ศ. 2522 อันเป็นปีที่ใช้บังคับ พระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า… พ.ศ. 2522 อย่างกรณีปกติย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเงินค่าทดแทนที่ดินที่เป็นธรรมแก่โจทก์ ควรเป็นราคาตามราคาประเมินที่ดินเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมระหว่าง พ.ศ. 2531-2534 ของกรมที่ดินซึ่งใช้ก่อนและในช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 วางเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ณสำนักงานวางทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายสังกัดกระทรวงคมนาคมมีจำเลยที่ 2 เป็นอธิบดี และเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 55147 เนื้อที่ 263 ตารางวา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2532มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ… เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343 สายคลองตัน – ลาดกระบัง พ.ศ. 2532 เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืน เนื้อที่ 256 ตารางวา คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของจำเลยทั้งสองได้กำหนดค่าทดแทนสำหรับที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนเป็นเงิน140,500 บาท ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อมาวันที่ 26 ตุลาคม 2533 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 150,187 บาท โจทก์เห็นว่าคณะกรรมการกำหนดราคาค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ และจำเลยทั้งสองกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยไม่เป็นธรรมและขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 ในขณะที่มีการเวนคืนที่ดินของโจทก์มีราคาซื้อขายในท้องตลาด ตารางวาละ 20,000 บาท เมื่อที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนไป 256ตารางวา โจทก์ควรได้ค่าทดแทนเป็นเงิน 5,120,000 บาท นอกจากนี้ราคาประเมินสำหรับการเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่กรมที่ดินกำหนดระบุราคาตารางวาละ 7,000 บาท ซึ่งหากกำหนดราคาค่าทดแทนตามราคาประเมินเพื่อใช้ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแล้ว จำเลยทั้งสองจะต้องกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,792,000 บาท การที่จำเลยทั้งสองจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์เพียง140,500 บาท จึงไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 5,120,000 บาท จำเลยทั้งสองจ่ายค่าทดแทนให้โจทก์มาแล้วเป็นเงิน140,500 บาท จึงเหลือค่าทดแทนที่จำเลยทั้งสองต้องจ่ายให้โจทก์อีกเป็นเงิน4,979,500 บาท แต่โจทก์ติดใจเรียกร้องเพียง 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของดอกเบี้ยประเภทเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชำระเงินค่าทดแทนให้โจทก์เพิ่มอีกเป็นเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์โดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2522 รัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่าพ.ศ. 2522 กำหนดแนวทางหลวงแผ่นดินอยู่ในท้องที่เขตพระโขนงและเขตลาดกระบังกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดให้อธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงนี้มีผลใช้บังคับ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน2522 ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้แต่งตั้งคณะกรรมการปรองดอง เพื่อพิจารณาค่าทดแทนให้แก่เจ้าของทรัพย์สิน คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมพิจารณาวางหลักการกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามสภาพและทำเลที่ตั้งของที่ดินที่ถูกเขตทางและราคาที่ซื้อขายที่ดินในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯ ใช้บังคับที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนเพียงบางส่วนจำนวน 2 งาน 56 ตารางวา จำเลยทั้งสองจึงกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อเป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ใช้บังคับในพ.ศ. 2522 ถึง 2524 ให้โจทก์เป็นเงิน 140,500 บาท ต่อมาวันที่ 13 สิงหาคม 2532ซึ่งพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงดังกล่าวยังมีผลใช้บังคับอยู่ ได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ แขวงสวนหลวง แขวงประเวศ เขตพระโขนงและแขวงคลองสองต้นนุ่น แขวงคลองสามประเวศ แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343 สายคลองตัน – ลาดกระบัง พ.ศ. 2532 ให้เวนคืนที่ดินที่ได้มีการกำหนดค่าทดแทนไว้แล้วตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงดังกล่าว รวมทั้งที่ดินของโจทก์จำนวน 2 งาน 56 ตารางวา ที่จำเลยทั้งสองได้กำหนดค่าทดแทนเป็นเงิน 140,500 บาท ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2532 และวันที่21 พฤศจิกายน 2532 เจ้าหน้าที่เวนคืนมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบไปทำความตกลงเรื่องค่าทดแทนแต่โจทก์ไม่ไป เจ้าหน้าที่เวนคืนจึงนำค่าทดแทนเป็นเงิน 140,500 บาท ไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2533 และโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปครบถ้วนแล้ว ต่อมาวันที่ 25 มกราคม 2533 โจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ประชุมพิจารณาอุทธรณ์แล้วเห็นว่าอัตราค่าทดแทนตามหลักการที่คณะกรรมการปรองดองฯ และอธิบดีกรมทางหลวงกำหนดให้ชอบแล้ว แต่สำหรับที่ดินที่เหลือเพียงเล็กน้อยจากการถูกเวนคืนไม่เกิน 25 ตารางวาเห็นควรกำหนดค่าทดแทนให้เท่ากับที่ดินซึ่งถูกเวนคืนทั้งแปลง ที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนเหลือที่ดิน 7 ตารางวา คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ส่วนที่อยู่ติดถนนซอยกว้างเกิน 4 เมตร ลึกจากริมถนนซอยเข้าไปไม่เกิน 20 เมตรจำนวน 25 ตารางวา ราคาตารางวาละ 1,138 บาท เป็นเงิน 28,450 บาท และส่วนที่ลึกจากริมถนนซอยเข้าไปเกินกว่า 20 เมตร จำนวน 2 งาน 31 ตารางวาราคาตารางวาละ 527 บาท เป็นเงิน 121,737 บาท รวมเป็นเงิน 150,187 บาท จำเลยทั้งสองได้กำหนดและจ่ายค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์โดยถูกต้องเป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมายแล้ว พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28พฤศจิกายน 2515 การกำหนดค่าทดแทนจึงต้องถือราคาตามท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงใช้บังคับไม่อาจกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งยังไม่ได้ออกใช้บังคับตามที่โจทก์กล่าวอ้างได้ ที่โจทก์อ้างว่าในขณะที่มีการเวนคืนที่ดินของโจทก์มีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดตารางวาละ 20,000 บาท และมีราคาประเมินสำหรับการเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตารางวาละ 7,000 บาท นั้น โจทก์กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าทดแทนที่ดินของโจทก์เพิ่มขึ้นอีกเป็นเงิน 3,000,000 บาท และไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ12.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 9,687 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2522ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน -หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2พฤศจิกายน 2522 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2523 ได้มีประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดให้ทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่าเป็นทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วน และวันที่ 13 สิงหาคม 2532 มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิแขวงสวนหลวง แขวงประเวศ เขตพระโขนง และแขวงคลองสองต้นนุ่น แขวงคลองสามประเวศ แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343 สายคลองตัน – ลาดกระบัง พ.ศ. 2532 ซึ่งมีผลใช้บังคับวันที่ 7 กันยายน 2532 เป็นผลให้ที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 55147 เนื้อที่ 263ตารางวา ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวไปเป็นเนื้อที่ 256 ตารางวา และคณะกรรมการปรองดองฯ ได้พิจารณากำหนดค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 140,500 บาทโจทก์อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในที่สุดได้มีการพิจารณาเพิ่มเงินค่าทดแทนให้โจทก์ใหม่จากเดิมตารางวาละ 1,000 บาท เป็นตารางวาละ 1,135 บาทและตารางวาละ 500 บาท เป็นตารางวาละ 527 บาท รวมเป็นเงิน 150,187 บาท โจทก์ฟ้องขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นเฉพาะที่ดินเนื้อที่ 256 ตารางวา มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่าการกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนให้แก่โจทก์จึงชอบที่จะใช้ราคาที่ดินที่ซื้อขายกันในช่วงระยะเวลาวันที่ 7 กันยายน 2532 เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ค่าทดแทนเห็นว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน -หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 ได้ตราออกใช้บังคับโดยอาศัยอำนาจตามข้อ 78 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2514อายุการบังคับใช้ของพระราชกฤษฎีกาจึงต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ซึ่งได้บัญญัติไว้ในข้อ 79 ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงให้ใช้ได้มีกำหนด 10 ปี ดังนั้น พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวซึ่งมีผลบังคับใช้ได้10 ปี นับแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2522 มิใช่มีอายุ 2 ปี หรือ 4 ปี แม้ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2515 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 7 ให้ยกเลิกความในส่วนที่ 3 การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างหรือขยายทางหลวง ข้อ 63 ถึงข้อ 80 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295… แล้วก็ตาม แต่มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างและประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วน ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ให้คงใช้บังคับได้ตามอายุของพระราชกฤษฎีกานั้นและวรรคสองของมาตรานี้บัญญัติทำนองเดียวกันกับมาตรา 36 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ว่า การเวนคืนและการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวงที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ให้เป็นอันใช้ได้แต่การดำเนินการต่อไป ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ดังนั้น พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่แขวงหัวหมาก.. เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343 สายคลองตัน – ลาดกระบัง พ.ศ. 2532 มีผลใช้บังคับวันที่ 7 กันยายน 2532 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงฯ การเวนคืนรายนี้จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่ามีการออกพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 6แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และหลังจากพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายนพ.ศ. 2515 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มีผลใช้บังคับแล้ว การดำเนินการในเรื่องค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ยังไม่เสร็จสิ้นการดำเนินการต่อไปในเรื่องนี้จึงต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และในขณะดำเนินคดีนี้ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ออกใช้บังคับ ซึ่งข้อ 1 บัญญัติว่า ให้ยกเลิกความในวรรคสี่และวรรคห้าของมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ในการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และจำนวนเงินค่าทดแทนให้คณะกรรมการกำหนดโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 18 มาตรา 21 มาตรา 22 และมาตรา 24…” และข้อ 5 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า บทบัญญัติมาตรา 9 วรรคสี่และวรรคห้า… แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับแก่การเวนคืนซึ่งการกำหนดราคาเบื้องต้น การจัดซื้อการจ่ายหรือการวางเงินค่าทดแทน การอุทธรณ์หรือการฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย ดังนั้นการกำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์จึงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 ที่ให้กำหนดเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึงอนุมาตรา (1) ถึง (5) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืน ในกรณีปกติแล้วการกำหนดเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึง (1) ถึง (5) นั้นย่อมเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม สำหรับคดีนี้พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่าพ.ศ. 2522 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2522 แล้ว แต่กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เพิ่งวางเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2533 การที่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการชดใช้ค่าทดแทนภายในเวลาอันควรแก่โจทก์ปล่อยระยะเวลามาเนิ่นนานกว่า 10 ปี เป็นการดำเนินการที่มิได้เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 มาตรา 33 วรรคสาม ซึ่งใช้บังคับในขณะที่ที่ดินของโจทก์ถูกกำหนดเป็นเขตแนวทางหลวงตามพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าว และทำให้โจทก์ขาดโอกาสที่จะนำเอาเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ที่มีราคาใกล้เคียงหรือสูงกว่าที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนไม่มากนักได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นการที่กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์โดยคำนึงถึงมาตรา 21(1) ถึง (4) คือ ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดประกอบราคาที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ประกอบราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประกอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินของโจทก์ใน พ.ศ. 2522 อันเป็นปีที่ใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน – หนองงูเห่า และทางแยกเข้าหนองงูเห่า พ.ศ. 2522 อย่างกรณีปกติย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเงินค่าทดแทนที่ดินที่เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนที่ดินและสังคมควรเป็นราคาตามราคาประเมินที่ดินเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมระหว่าง พ.ศ. 2531 – 2534 ของกรมที่ดิน ซึ่งใช้ก่อนและในช่วงเวลาที่จำเลยที่ 1 วางเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี จึงกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 3,500 บาท โจทก์ถูกเวนคืนที่ดินรวม 256 ตารางวา คิดเป็นเงินจำนวน 896,000 บาท จำเลยทั้งสองและรัฐมนตรีฯ ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์รวมแล้วเป็นเงิน 150,187 บาท ส่วนที่ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นอีกจึงเป็นเงิน 745,813 บาท

ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยแก่โจทก์เพียงใด เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่รัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้ชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้นับแต่วันที่ต้องมีการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากเงินค่าทดแทนที่รัฐมนตรีฯและศาลฎีกาวินิจฉัยให้ชำระเพิ่มขึ้นรวมกันจำนวน 755,500 บาท นับแต่วันที่ 4 มกราคม2533 อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 วางเงินค่าทดแทน ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสิน ส่วนจะได้รับอัตราเท่าใดต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสินที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยขึ้นลง แต่เนื่องจากโจทก์ฎีกาขอค่าทดแทนเพิ่มขึ้นอีก 755,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเท่านั้นดังนั้นวันเริ่มต้นคิดดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินต้นที่คิดดอกเบี้ยจึงต้องไม่เกินตามคำขอของโจทก์ด้วย

พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้น 745,813 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงิน 755,000 บาท แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 13 ธันวาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share