คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4845/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจากจำเลย มิใช่ขอแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจากจำเลยตั้งแต่เมื่อใดทั้งปรากฏว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ได้ถูกต้องครบถ้วน มิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ซื้อเมื่อปี 2511 และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2526 จึงต้องเริ่มนับอายุความครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่ปีที่จำเลยซื้อมา เพราะจำเลยเจตนาครอบครองปรปักษ์นับแต่นั้นเป็นต้นมา และโดยที่ผู้ขายมีเจตนาสละที่ดินส่วนที่ขายให้จำเลย จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ต้องใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานโดยอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาทโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ 8 ไร่ 1 งาน 20 วา จำเลยถือกรรมสิทธิ์ 2 ไร่2 งาน และแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วน โดยโจทก์ทำประโยชน์เป็นเวลาประมาณ 10 ปี โดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน โจทก์จำเลยได้ยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินปรากฏว่ารังวัดที่ดินได้เนื้อที่ขาดไป โจทก์จำเลยตกลงในเนื้อที่ดินที่ขาดไม่ได้ ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่โจทก์ หากที่ดินขาดหรือเกินไป ให้เฉลี่ยกันตามส่วนที่จดทะเบียนถือกรรมสิทธิ์ไว้
จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์เพียง7 ไร่ 2 งาน เท่านั้น ส่วนเนื้อที่อีก 3 งาน 20 วา ส่วนของโจทก์ตกเป็นของจำเลย โดยจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ และจดทะเบียนเป็นของจำเลยเมื่อปี 2526 เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินโจทก์ทราบว่า ที่ดินส่วนของโจทก์เนื้อที่ 3 งานเศษ จำเลยครอบครองปรปักษ์อยู่ โจทก์จึงซื้อและจดทะเบียนซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวโดยไม่สุจริต ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ทำประโยชน์ตั้งแต่เมื่อไรขอให้ยกฟ้องและให้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 3 งานเศษ เป็นของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยซื้อที่ดินจากนางตุ๊เพียง 2 ไร่ 2 งาน นางตุ๊ชี้เขตให้เพียงการประมาณเท่านั้น โจทก์ซื้อที่ดินจากนางตุ๊ตามจำนวนเนื้อที่ที่เหลืออยู่ตามโฉนด แม้จำเลยครอบครองเกินจากที่จำเลยถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็เป็นการครอบครองแทนโจทก์เพราะมิได้แบ่งแยกการครอบครองว่าใครครอบครองส่วนไหน เพิ่งแบ่งแยกในวันที่4 สิงหาคม 2526 จำเลยยังครอบครองไม่ครบ 10 ปี เนื่องจากจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2526 ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยมีส่วนในที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน ทางทิศตะวันตกส่วนที่เหลือทางทิศตะวันออกเป็นของโจทก์ ยกฟ้องแย้ง
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า ฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจากจำเลย มิใช่ขอแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายคำฟ้องในเรื่องที่ว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมจากจำเลยตั้งแต่เมื่อใด คำให้การต่อสู้ของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้อง โจทก์ก็ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การต่อสู้ได้ถูกต้องครบถ้วนมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใดนั้น แสดงให้เห็นได้ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามกฎหมายแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สำหรับฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว และจำเลยจะต้องแบ่งที่ดินให้โจทก์เพียงใดนั้น ประเด็นทั้งสองนี้มีผลเกี่ยวพันเป็นอันเดียวกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วคดีนี้ที่ดินพิพาทที่โต้เถียงกันระหว่างโจทก์จำเลยราคา 15,000 บาท ฉะนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีนี้จึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ตามฎีกาของจำเลยอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ซื้อเมื่อปี 2511มาตลอดโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2526 ซึ่งจำเลยมีสิทธินับอายุความต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1385 และโดยที่ผู้ขายมีเจตนาสละที่ดินที่ขายให้จำเลยนั้น เห็นได้ว่า สัญญาที่จำเลยอ้างส่งระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และมีข้อตกลงว่าผู้ขายจะยื่นคำขอแบ่งขายและช่างแผนที่ไปทำการรังวัดแบ่งขายเสร็จเมื่อใด ผู้ขายจะทำหนังสือสัญญาแบ่งขายกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยผู้ซื้อจะชำระเงินที่ค้างในวันจดทะเบียนแบ่งขาย จึงเป็นหลักฐานเบื้องต้นว่าเป็นสัญญาจะซื้อขาย และศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวโดยอาศัยสิทธินางตุ๊ตามสัญญาจะซื้อขาย อันเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทแทนนางตุ๊ มิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ การที่จำเลยฎีกาว่าต้องเริ่มนับอายุความครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่ที่จำเลยซื้อมาในปี 2511 เพราะจำเลยเจตนาครอบครองปรปักษ์นับแต่นั้นเป็นต้นมาและโดยที่นางตุ๊มีเจตนาสละที่ดินส่วนที่นางตุ๊ขายให้จำเลย จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ต้องใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานโดยอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นที่จำเลยฎีกามาข้างต้นนั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share