แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มิใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 หากแต่เป็นการฟ้องโดยอาศัยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ โจทก์จึงฟ้องบังคับให้รื้อถอนได้เสมอตราบเท่าที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารเฉพาะส่วนที่ได้ดัดแปลงต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอน ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการรื้อถอนโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกำหนดเวลา 1 ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ได้ดัดแปลงต่อเติมโดยมิได้รับอนุญาต หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อสุดท้ายที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่าโจทก์อ้างว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมวันที่ 6 มิถุนายน 2528 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2530 ซึ่งเป็นเวลาเกิน 1 ปี นับแต่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ เห็นว่า การฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มิใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 หากแต่เป็นการฟ้องโดยอาศัยพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษที่มีวัตถุประสงค์คุ้มครองประโยชน์และความปลอดภัยแก่ประชาชนเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องบังคับให้รื้อถอนได้เสมอตราบเท่าที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน