คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4838/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้ออ้างของจำเลยที่ตกลงกันในสัญญากู้เงินให้ศาลของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีและใช้กฎหมายของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ในการตีความสัญญาหรือการฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้ ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักการแสดงเจตนาของคู่กรณีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายฯ มาตรา 13 เท่าที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 38 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ทุนทรัพย์ในคดีมีจำนวน 46,497,247.86 บาท ส่วนค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์นั้นมีจำนวนเพียง 100,000 บาท คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.215 ของจำนวนทุนทรัพย์ ทั้ง ๆ ที่อาจกำหนดค่าทนายความให้ในอัตราขั้นสูงได้ถึงร้อยละ 5 ของจำนวนทุน ค่าทนายความดังกล่าวจึงไม่สูงเกินส่วน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามกฎหมายของประเทศสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 1,217,986.42 ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมทางกฎหมายจำนวน 17,004.98 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,056.64 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,024,999.65 ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 เมษายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยชำระเงินค่าธรรมเนียมทางกฎหมายจำนวน 17,004.94 ดอลลาร์สหรัฐ กับ1,056.64 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 10,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ1 + อัตราดอกเบี้ยไซเบอร์ (Singapore Inter Bank otter Rate (SIBOR)) กำหนดชำระต้นเงินคืนภายใน 12 เดือน นับแต่วันเบิกเงินกู้ครั้งแรก และชำระดอกเบี้ยเป็นงวดทุก3 เดือน หรือ 6 เดือน หากจำเลยผิดนัด ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปีซึ่งเท่ากับอัตราร้อยละ 2 + 1 + อัตราดอกเบี้ยไซเบอร์ต่อปี จำเลยได้นำหุ้นของธนาคารเอเซีย จำกัด (มหาชน) จำนวน 4,500,000 หุ้น มาจำนำไว้แก่โจทก์เป็นประกัน วันที่ 17 ตุลาคม 2537 จำเลยเบิกเงินกู้จากโจทก์ไปจำนวน 6,000,000 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์และจำเลยได้ตกลงขยายเวลาชำระหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 19 เมษายน 2540 ต่อมาจำเลยผิดสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2538ที่จำเลยร่วมกับบริษัทยูนิเวสท์พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กู้เงินจากโจทก์กับธนาคารผู้ให้กู้ร่วมอื่นอีก 2 ราย โจทก์ถือว่าจำเลยผิดสัญญากู้เงินในคดีนี้ด้วย จึงใช้สิทธิบังคับจำนำในวันที่1 เมษายน 2540 โดยขายทอดตลาดหุ้นทั้งหมดแล้วนำเงินมาชำระหนี้เงินกู้ และคิดดอกเบี้ยเงินกู้ผิดนัดในอัตราร้อยละ 2 + 1 + อัตราดอกเบี้ยไซเบอร์ต่อปี จากต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันที่ 3 เมษายน 2540 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ครั้งสุดท้าย

ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.5ข้อ 16.1 และ 22.1 ให้ศาลของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีและใช้กฎหมายของประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ในการตีความสัญญาหรือการฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้ ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักการแสดงเจตนาของคู่กรณีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 13 เท่าที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 38ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัย

ที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อสุดท้ายว่า ค่าทนายความที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดให้จำเลยชำระแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท สูงเกินส่วนนั้น เห็นว่า ทุนทรัพย์ในคดีนี้มีจำนวนสูงถึง 46,497,247.86 บาท ส่วนค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์นั้นมีจำนวนเพียง 100,000 บาท คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.215 ของจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่อาจกำหนดค่าทนายความให้ในอัตราขั้นสูงได้ถึงร้อยละ 5 ของจำนวนทุนทรัพย์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบตาราง 6 อัตราค่าทนายความท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้นค่าทนายความที่กำหนดไว้จำนวน 100,000 บาท จึงไม่สูงเกินส่วน อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 50,000 บาทแทนโจทก์

Share