คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายสินค้าของจำเลยที่ 1 ตามใบแจ้งหนี้สำเร็จบริบูรณ์ก่อนเวลาที่จำเลยที่ 2 เข้ามาค้ำประกันแล้ว ดังนี้ แม้วันที่ครบกำหนดชำระราคาค่าสินค้าจะเป็นเวลาภายหลังวันที่ทำสัญญาค้ำประกันก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็คงต้องรับผิดเฉพาะหนี้ค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่จำเลยที่ 2 เข้าค้ำประกันการซื้อสินค้าของจำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อสินค้าจากโจทก์โดยนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ ๒ มอบให้โจทก์เพื่อค้ำประกันครบกำหนดชำระเงินแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๑,๖๗๓,๐๑๐.๒๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๑,๕๒๘,๓๔๘.๓๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จเแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงค้ำประกันค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ ซื้อจากโจทก์ ในระหว่างวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๐ เท่านั้น จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อจากโจทก์นอกเหนือจากระยะเวลาดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๑,๖๗๓,๐๑๐.๒๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน ๑,๕๒๘,๓๔๘.๓๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนเป็นเงินจำนวน ๕๐๗,๐๓๐.๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าที่จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อจากโจทก์ก่อนวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ ตามใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๖ ด้วยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงค้ำประกันการชำระค่าสินค้าของจำเลยที่ ๑ ในขณะที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำการซื้อขายสินค้ากันแล้ว โดยสัญญาค้ำประกันไม่ได้ระบุว่าเป็นการประกันการซื้อขายกันเมื่อใด และการซื้อขายสินค้า ๔ ครั้งแรกนั้น มีเงื่อนไขชำระค่าสินค้าภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันส่งมอบสินค้าซึ่งวันครบกำหนดชำระค่าสินค้าทั้ง ๔ ครั้ง ยังอยู่ในช่วงเวลาที่จำเลยที่ ๒ ตกลงเป็นผู้ค้ำประกันต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ก่อนที่จำเลยที่ ๒ จะทำสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๘ จำเลยที่ ๑ ได้ทำคำขอให้ออกหนังสือค้ำประกันไว้ตามเอกสารหมาย ล.๓ ซึ่งมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ ๑ ขอให้จำเลยที่ ๒ ออกหนังสือค้ำประกันเป็นจำนวนเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์เพื่อค้ำประกันการทำสัญญาซื้อสินค้าประเภทโลหะแผ่นมีกำหนด ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๐ แล้วจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสาร จ.๘ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ โดยมีข้อความระบุไว้เพียงว่า จำเลยที่ ๒ ยอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เป็นเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ จะไม่เพิกถอนการค้ำประกันในระหว่างเวลาที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชอบอยู่ตามเงื่อนไขในสัญญาจนถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๐ ไม่ได้มีข้อความใด ๆ ระบุไว้ให้ชัดเจนหรือเป็นความหมายว่า จำเลยที่ ๒ ยอมผูกพันค้ำประกันการซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๑ ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ จึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ตกลงค้ำประกันการซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๑ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๙ ถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๐ ตามคำขอของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเท่านั้น การซื้อขายสินค้าตามใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ.๓ ถึง จ.๖ สำเร็จบริบูรณ์ก่อนเวลาที่จำเลยที่ ๒ เข้ามาค้ำประกันแล้ว แม้วันที่ครบกำหนดชำระค่าสินค้าจะเป็นเวลาภายหลังวันที่ทำสัญญาค้ำประกันก็ตาม ก็เป็นกรณีที่โจทก์ได้กำหนดระยะเวลาให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ ๑ ชำระค่าสินค้าได้ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าให้เท่านั้น ดังนั้น จำเลยที่ ๒ คงต้องรับผิดเฉพาะหนี้ค่าสินค้าตามใบแจ้งหนี้เอกสารหมาย จ.๗ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่จำเลยที่ ๒ เข้าค้ำประกันการซื้อสินค้าของจำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ยในหนี้เงินดังกล่าว ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน.

Share