คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานช่วยงานพยาบาลซึ่งทำงานในโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ห้องน้ำที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ที่จำเลยต้องเข้าไปทำงานตามหน้าที่ และเหตุคดีนี้เกิดในช่วงเวลาที่จำเลยทำงาน กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วลักทรัพย์ในสถานที่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 มิใช่ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 30,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรก จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 30,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เวลา 6.15 นาฬิกา นางอภิชญา ผู้เสียหายซึ่งไปเฝ้าดูแลพันเอกบัณฑิต บิดาของผู้เสียหายที่พักรักษาโรคปอดอยู่ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษเลขที่ 1301 หอผู้ป่วย 1 อายุรกรรมชายในโรงพยาบาลอานันทมหิดล สถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้เข้าห้องน้ำภายในห้องผู้ป่วยดังกล่าว แล้วถอดแหวนเพชร 1 วง ราคา 20,000 บาท กับแหวนทองคำประดับพลอย 1 วง ราคา 10,000 บาท ไว้บนถาดวางสบู่เหนือที่ใส่ม้วนกระดาษชำระที่มีลักษณะตามภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ เมื่ออาบน้ำและซักผ้าเสร็จผู้เสียหายออกจากห้องน้ำนำผ้าที่ซักไปตากที่ระเบียงด้านข้างห้องผู้ป่วยนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยซึ่งเป็นพนักงานช่วยงานพยาบาลนำถุงปัสสาวะของพันเอกบัณฑิตใส่กระป๋องไปเทใส่โถส้วมชักโครกในห้องน้ำที่ผู้เสียหายเพิ่งออกมา หลังจากนั้นจำเลยออกจากห้องผู้ป่วยพิเศษเลขที่ 1301 ไป ต่อมาผู้เสียหายเข้าห้องน้ำเพื่อจะเอาแหวนทั้งสองวงที่วางไว้ แต่พบว่าหายไป ผู้เสียหายทราบจากพันเอกบัณฑิตว่าเห็นจำเลยนำถุงปัสสาวะไปเททิ้งในห้องน้ำจึงแจ้งเรื่องให้พันโทหญิง ศิริองค์อร หัวหน้าหอผู้ป่วยทราบ พันโทหญิงศิริองค์อรเรียกพยาบาล 2 คน ผู้ช่วยพยาบาล 2 คน และจำเลยซึ่งอยู่เวรและเกี่ยวข้องในวันดังกล่าวมาตรวจค้นตัวและตรวจค้นล็อกเกอร์ประจำตัวของบุคคลทั้งห้านั้นแล้วไม่พบแหวนของผู้เสียหายที่หายไป จากนั้นเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโทบัญญัติ พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองลพบุรี พันตำรวจโทบัญญัติไปตรวจสถานที่เกิดเหตุแล้วทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุ และทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญา วันที่ 23 กรกฎาคม 2553 จำเลยเข้ามอบตัวเพื่อขอต่อสู้คดีตามบันทึกการมอบตัวผู้ต้องหา ชั้นสอบสวนพันตำรวจโทบัญญัติแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ จำเลยให้การปฏิเสธตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยคือคนร้ายที่ลักแหวน 2 วงของผู้เสียหายไปหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานใดที่เห็นจำเลยเอาแหวนทั้งสองวงของผู้เสียหายไป และพันโทหญิงศิริองค์อรตรวจค้นไม่พบแหวนของผู้เสียหายที่จำเลยก็ตาม แต่ในเหตุที่มีจำเลยเพียงคนเดียวเข้าไปเทปัสสาวะของพันเอกบัณฑิตลงโถส้วมในห้องน้ำที่เกิดเหตุแล้วแหวนทั้งสองวงของผู้เสียหายซึ่งวางอยู่ใกล้โถส้วมดังกล่าวหายไป ทั้งการตรวจค้นจำเลยก็มิได้กระทำในเวลาใกล้ชิดกับเวลาที่จำเลยออกจากห้องน้ำที่เกิดเหตุ รูปคดีจากพยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุผลโดยชัดแจ้งว่าจำเลยคือคนร้ายที่ลักแหวน 2 วงของผู้เสียหายไป ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคแรกมานั้น เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานช่วยงานพยาบาลซึ่งทำงานในโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ห้องน้ำที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ที่จำเลยต้องเข้าไปทำงานตามหน้าที่ และเหตุคดีนี้เกิดในช่วงเวลาที่จำเลยทำงาน กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วลักทรัพย์ในสถานที่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 มิใช่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share